หลังจบเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 2 เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา คงไม่มีแฟนบอลทีมไหนที่มีความสุขไปกว่า ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ที่นอกจากจะชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2020 นี่ยังเป็นชัยชนะเหนือปีศาจแดงในบ้านของตัวเองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2018 ครั้งสุดท้ายที่ไก่เดือยทองชนะแมนฯ ยูฯ ในสนามเหย้าของตัวเองต้องย้อนไปถึงเมื่อราวๆ 5 ปีที่แล้ว
ชัยชนะดังกล่าวอาจมีค่าเพียง 3 คะแนนในตารางพรีเมียร์ลีก แต่ถ้าคำนึงถึงสถานการณ์ในช่วงท้ายฤดูกาลก่อน ที่อันโตนิโอ คอนเต้ โดนปลดจากตำแหน่ง ไม่ได้ไปเล่นในฟุตบอลยุโรปสักรายการ รวมถึงเพิ่งเสียแฮร์รี เคน ให้บาเยิร์น มิวนิค ไปหมาดๆ ต้องยอมรับว่าสกอร์ 2-0 ที่เกิดขึ้น ปลุกความหวังให้แฟนบอลไก่เดือยทองได้มากทีเดียว
อะไรทำให้สเปอร์สในยุคของเฮดโค้ชชาวออสเตรเลียกลับมามีฟอร์มที่โดดเด่นได้อย่างรวดเร็ว หาคำตอบไปพร้อมกันทาง The Sporting News
และนอกจากนี้ ทุกท่านยังสามารถ ร่วมสมัครเล่นสนุก ชิงรางวัลกับการแข่งขันพรีเมียร์ลีกได้ที่นี่
3 ปัจจัยพลิกโฉมสเปอร์สให้กลับมาเฉิดฉาย
กลับมาเล่นเกมรุกและเน้นการครองบอลมากขึ้น
หลังจากที่ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ แยกทางกับเมาริซิโอ โปเช็ตติโน เมื่อปี 2019 พวกเขามีกุนซือถาวรในตำแหน่งอยู่ 3 ราย คือโชเซ มูรินโญ, นูโน่ เอสปิริโต ซานโต และอันโตนิโอ คอนเต้ ซึ่งทั้งสามคนมีแนวทางการทำทีมที่เน้นเกมรับและสวนกลับเป็นหลักเหมือนกันทั้งหมด
น่าสังเกตว่าในช่วงราวๆ 20 ปีที่ผ่านมา กุนซือที่เน้นการเล่นเกมรับเป็นหลักมักมีจุดจบที่ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่กับไก่เดือยทอง นอกเหนือจากทั้งสามคนที่กล่าวถึง ตัวอย่างที่ชัดเจนและแฟนบอลน่าจะยังพอจำกันได้คือ อังเดร วิลลาส โบอาส และฆวนเด รามอส ที่ต่างก็ต้องเอาชื่อมาทิ้งไว้ที่นี่ แม้จะเคยมีผลงานที่โดดเด่นมาก่อน
อังเก้ ปอสเตโปกลู ตัดสินใจเข้ามายกเครื่องสเปอร์สใหม่ทั้งระบบ และปรับทีมให้เน้นเกมรุกรวมถึงครองบอลให้มากขึ้น ตัวเลขเปอร์เซ็นครองบอลเหนือกว่าคู่แข่ง 69.4% ในเกมกับเบรนท์ฟอร์ด คือสิ่งที่แฟนบอลไม่เห็นมานานนับปี เช่นเดียวกับตัวเลข 55.9% ในเกมพบแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นคู่แข่งในระดับบิ๊กซิกซ์
ตลอดระยะเวลา 4 ปี ภายใต้การคุมทีมของโค้ชทั้งสาม สเปอร์สพิสูจน์ให้เห็นเกินพอแล้วว่า ด้วยศักยภาพทางการเงินที่มี พวกเขาไม่สามารถหากองหลังระดับท็อปที่เก่งที่สุดในลีกได้เหมือนคู่แข่ง และความผิดพลาดในเกมรับก็สร้างบาดแผลให้พวกเขามาแล้วนักต่อนัก
ใช้นักเตะเฉพาะทาง มากกว่าคนเดียวเก่งทุกอย่าง
หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดที่สุดในยุคของอังเก้ คือการหายหน้าหายตาไปจากทีมของ ปิแอร์ เอมิล ฮอยเบียร์ แกนหลักที่ได้ลงสนามอย่างสม่ำเสมอมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นในยุคของมูรินโญ, นูโน หรือคอนเต้
จากผลงานตลอด 3 ปี ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าฮอยเบียร์คือมิดฟิลด์ที่ครบเครื่องที่สุดคนหนึ่งในลีก เล่นเกมรับดี ขยันขันแข็ง คุมเกมได้ และมีโอกาสสอดขึ้นไปทำประตูได้อย่างสม่ำเสมอ
แต่ถามว่าเขาคือกองกลางที่ฝีเท้าโดดเด่นที่สุดในลีกหรือเปล่า? หลายคนคงไม่ได้คิดเช่นนั้น
แม้มิดฟิลด์ชาวเดนมาร์กจะมีข้อดีมากมาย แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ใครๆ ก็นึกถึงเวลาพูดถึงความโดดเด่นในด้านใดด้านหนึ่ง เขาไม่ใช่คนที่แย่งบอลเก่งที่สุด ไม่ใช่คนที่จ่ายบอลได้ดีที่สุด ไม่ใช่มิดฟิลด์ที่ยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ แถมบางครั้งเวลาโดนคู่แข่งกดดันใส่ เขาก็มักจะพลาดง่ายๆ จนนำมาซึ่งการเสียประตูอยู่เสมอๆ
ในยุคของอังเก้ เขาตัดสินใจแบ่งภาระของฮอยเบียร์ออกมาให้มิดฟิลด์สามรายที่แบ่งบทบาทกันอย่างชัดเจน อีฟส์ บิสซูมา ยืนอยู่หน้าแผงหลังคอยเก็บกวาดและตั้งเกม, เจมส์ แมดดิสัน เป็นเพลย์เมกเกอร์ที่เทคนิคดีและมีความคิดสร้างสรรค์ในเกมรุก ขณะที่โอลิเวอร์ สคิปป์ หรือ ปาเป้ มาตาร์ ซาร์ คือลูกหาบที่ใช้พลังวิ่งไม่มีหมดคอยบดขยี้คู่แข่ง
ความสามารถในการเก็บบอล เอาตัวรอดเวลาถูกกดดันและสร้างสรรค์เกมของบิสซูมาและแมดดิสัน คือเบื้องหลังที่สำคัญมากที่ทำให้สเปอร์สมีเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่สูงขึ้นในฤดูกาลนี้
ไอเดียการเข้าทำที่แปลกใหม่
อีกหนึ่งสิ่งที่อังเก้เข้ามายกระดับในทีมสเปอร์สฤดูกาลนี้คือวิธีการสร้างโอกาสที่แตกต่างไปจากเดิม การใช้ฟูลแบ็คเป็นคนยิงจากแถวสองซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีกับเอแมร์ซอนในเกมนัดแรก และเกือบได้ผลอีกครั้งกับเปโดร ปอร์โร ในนัดที่สองคือสิ่งที่สเปอร์สไม่เคยทดลองทำมาก่อน
หรือการใช้เดสตินี อูโดกี้ แบ็คซ้ายชาวอิตาเลียน เพื่อเจาะพื้นที่ด้านในทางฝั่งขวาแมนฯ ยูฯ รวมถึงการให้ ปาเป้ ซาร์ เจาะพื้นที่จุดเดียวกันนั้นจนนำมาสู่ประตูขึ้นนำ ก็เป็นสิ่งที่สเปอร์สไม่เคยนำมาทดลองใช้ โดยเฉพาะกับกุนซือสามรายก่อนหน้านี้
จริงอยู่ พรีเมียร์ลีกเพิ่งผ่านไป 2 นัด ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าอังเก้จะพาสเปอร์สบินสูงได้ในฤดูกาลนี้ พวกเขายังมีปัจจัยที่น่ากังวลอีกหลายอย่างให้ต้องพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้เล่นสำรองที่ยังไม่ดีพอจะทดแทนคีย์แมนหลักหลายคนหากมีอาการบาดเจ็บ รวมถึงการขาดหายไปของแฮร์รี เคน กองหน้าตัวหลัก ที่ริชาร์ลิซอนยังไม่มีทีท่าแม้แต่น้อยว่าจะทดแทนกันได้
แต่อย่างน้อยที่สุด จากผลงาน 2 นัดที่ผ่านมา ก็เพียงพอให้แฟนๆ สเปอร์สมีความหวังขึ้นมาได้อย่างเหลือเฟือ เมื่อเทียบกับสถานการณ์เลวร้ายในช่วงปลายฤดูกาลที่แล้ว