คงไม่ใช่เรื่องแปลก หากหลายคนยังตั้งคำถามว่า จู๊ด เบลลิงแฮม เก่งจริงหรือเปล่า ? เพราะแฟนบอลหลายคนอาจไม่ได้ติดตามเขาขณะเล่นกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
ความประทับใจจากความครบเครื่องของกองกลางวัย 19 ปี รายนี้ จึงอาจทำให้ใครตั้งตัวไม่ถูกว่าเขาเป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่
วันนี้เราจึงชำแหละผลงานของเบลลิงแฮม กับทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลก 2022 เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นชัดเจนว่า เบลลิงแฮม คือกองกลางสุดครบเครื่องที่ทุกคนตามหา และสามารถพัฒนาสู่การเป็นกองกลางที่ดีที่สุดในโลกได้อย่างแน่นอน
ความยืดหยุ่น
สำหรับใครที่ติดตามการเล่นของของจู๊ด เบลลิงแฮม ตลอดช่วงที่ผ่านมา พวกเขาย่อมรู้ดีว่าจุดเด่นของนักเตะรายนี้ คือ “ความยืดหยุ่นในการเล่นฟุตบอล” เพราะนักเตะรายนี้ถือเป็นกองกลางที่ครบเครื่องเป็นอย่างมาก เขามีความสามารถในการเล่นหลากหลายรูปแบบ ซึ่งที่สำคัญคือ เขาดันทำมันได้ดีทุกรูปแบบด้วย
เคล็ดลับความสำเร็จส่วนนี้ของเบลลิงแฮม คือสภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง และเทคนิคอันยอดเยี่ยม สองคุณสมบัติสำคัญที่กองกลางทั่วโลกเฝ้าถวิลหา แต่มีน้อยคนนักที่จะได้ครอบครองทั้งสองอย่าง เพราะมิดฟิลด์ส่วนใหญ่มักมีแค่คุณสมบัติหนึ่งเท่านั้น
นั่นจึงทำให้ เบลลิงแฮม กลายเป็นผู้เล่นสุดพิเศษตั้งแต่อายุน้อยมาก ๆ เพราะเขาครอบครองพรสวรรค์สำคัญ ด้วยการเป็นกองกลางเพียงไม่กี่คนบอลโลกที่ยอดเยี่ยม ทั้ง สภาพร่างกาย และเทคนิคพร้อมกัน
เรื่องนี้เองคือเหตุผลที่ทำให้ใครหลายคนมองเบลลิงแฮมผิดไป เพราะก่อนหน้านี้เขาถูกมองว่าเป็นผู้เล่นที่ใช้พละกำลังเป็นหลัก และจุดเด่นของเขาคงไม่เกินวิ่งไล่บอลทั่วสนาม ซึ่งไม่ใช่ความสามารถที่มากพอ จะทำให้เขาไปสู่ยอดนักเตะระดับโลก
แต่ผลงานของเบลลิงแฮมในศึกฟุตบอลโลก 2022 กับทีมชาติอังกฤษ ย่อมทำให้ทุกคนเห็นแล้วว่า เขามีเทคนิคที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ความขยันของเขา
นั่นจึงทำให้ เบลลิงแฮมกลายเป็นมิดฟิลด์ที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุดคนหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะเล่นเกมรุกหรือเกมรับ เขาก็สามารถตอบแทนความไว้ใจของแกเร็ธ เซาธ์เกต ได้อย่างยอดเยี่ยมเสมอ
เล่นได้ในทุกพื้นที่
ความยืดหยุ่นของเขาทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่า สุดท้ายแล้ว จู๊ด เบลลิงแฮม เล่นตำแหน่งไหนดีที่สุดกันแน่ ? เพราะเขาสามารถทำมันได้ดีในทุกพื้นที่จริง ๆ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือเกมในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่ทีมชาติอังกฤษ เอาชนะ ทีมชาติเซเนกัล 3-0 เบลลิงแฮมจะอยู่ในพื้นที่ว่างเพื่อช่วยรับบอล ทั้งในส่วนของเกมรับและเกมรุก
แน่นอนว่านี่เป็นงานที่ยาก แต่เนื่องจากร่างกายที่ฟิตพร้อมจะวิ่งไปทุกพื้นที่ บวกกับเทคนิคในการเล่นฟุตบอลอย่างยอดเยี่ยม การรับบทบาทกองกลางที่สามารถช่วยเล่นทั้งเกมรับและเกมรุก จึงอาจไม่ใช่งานที่ยากเกินไปนักสำหรับเขา
เบลลิงแฮมจึงกลายเป็นเครื่องจักรสำคัญที่ทำให้เครือข่ายการจ่ายบอลของทีมชาติอังกฤษ สามารถดำเนินต่อไปอย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด ขณะเดียวกัน เบลลิงแฮม จะลงมาช่วยเชื่อมบอลระหว่างแฮร์รี่ แมคไกวร์ กับลุค ชอว์
เนื่องจากหลายครั้งแบ็คซ้ายจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จำเป็นต้องเติมเกมรุกสูง เบลลิงแฮมจึงเข้ามาเป็นตัวแทนในการรับบอลตรงนี้ได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนการเล่นเกมรับในพื้นที่กลางสนาม ถือเป็นหน้าที่พื้นฐานที่เบลลิงแฮมต้องทำอยู่แล้ว
นั่นจึงทำให้ในเกมเดียว เบลลิงแฮมต้องทำหน้าที่เป็นกองกลางที่คอยเชื่อมบอลในแดนกลาง, เชื่อมบอลในแดนหลัง และไล่บอลในแดนกลาง เพียงแค่สามหน้าที่อันหลากหลายนี้ ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่า เบลลิงแฮมสามารถเล่นได้ทุกพื้นที่ และเป็นกองกลางที่ทำได้ดีทั้งเกมรุกเกมรับจริง ๆ
ช่วยในการทำประตู
ส่วนทักษะการทำประตูของจู๊ด เบลลิงแฮม ถือเป็นความสามารถที่ไม่มีใครข้องใจกันอยู่แล้ว เพราะขณะค้าแข้งกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เขาคือนักเตะที่มีส่วนร่วมกับการทำประตูของทีมมากที่สุดคนหนึ่ง
หลังทีมตัดสินใจขายเออร์ลิง ฮาลันด์ ออกไปในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เบลลิงแฮมจึงต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแนวรุกคนใหม่ของทัพเสือเหลือง ซึ่งเขาทำมันได้อย่างยอดเยี่ยม ผ่านผลงาน 9 ประตู 3 แอสซิสต์
โดยจุดเด่นของเจ้าตัวในส่วนนี้คือ เขาสามารถจ่ายบอลได้ดี, เลี้ยงบอลได้ดี และยิงประตูได้ดี นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะได้รับคำชมมากมายตลอดช่วงปีที่ผ่านมา โดยในเกมที่พบกับทีมชาติเซเนกัล
เบลลิงแฮมใช้ความสามารถของเขาโจมตีพื้นที่ระหว่างกองหลังของเซเนกัล นั่นคือระหว่าง ยุสซุฟ ซาบาลี่ แบ็คขวา และคาลิดู คูลิบาลี่ เซ็นเตอร์แบ็ค โดยเบลลิงแฮมจะวิ่งเข้าไปรับบอลในพื้นที่ว่างระหว่างทั้งคู่ ซึ่งท้ายที่สุดมันนำมาสู่ประตูของจอร์แดน เฮนเดอร์สัน อันเป็นประตูสำคัญที่ช่วยให้อังกฤษปลดล็อคขึ้นนำได้สำเร็จ
ส่วนประตูลูกที่สองของอังกฤษ เบลลิงแฮมเลือกใช้ความขยันของเขาตัดบอลมาได้จากผู้เล่นเซเนกัล ก่อนเลี้ยงบอลฝ่าผู้เล่นของคู่แข่งตรงกลางสนาม เพื่อพาบอลให้ฟิล โฟเด้น และแฮร์รี่ เคน ประสานงานจนขึ้นนำ 2-0 ต่อไป
นี่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเบลลิงแฮมสามารถสร้างสรรค์โอกาสทำประตูได้อย่างไรบ้าง แม้ตัวเขาเองจะอายุเพียง 19 ปีก็ตาม
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเกินไปนัก หาก จู๊ด เบลลิงแฮม จะถูกมองว่าเขาอาจกลายเป็นกองกลางที่เก่งที่สุดในอนาคตอันใกล้ เพราะคุณภาพของเขาในทุกวันนี้นั้นถือว่ายอดเยี่ยม จนแทบจะเป็นกองกลางที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลกอยู่แล้ว