Greatest of all time หรือ G.O.A.T. ไม่ใช่คำชื่นชมที่นักกีฬาจะได้รับกันง่าย ๆ ต้องเป็นสุดยอดจริง ๆ เช่น ไมเคิล จอร์แดน กับบาสเกตบอล เป็นต้น
ยิ่งสำหรับยุคปัจจุบัน เจ้าของฉายา “G.O.A.T.” แห่งวงการกีฬาย่อมหนีไม่พ้น ทอม เบรดี้ สุดยอดควอเตอร์แบ็คตลอดกาลของกีฬาอเมริกัน ผู้คว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ 7 สมัย มากกว่าทุกทีมใน NFL คู่ควรกับคำว่าสุดยอดตลอดกาลอย่างแท้จริง
สำหรับวงการฟุตบอล ก็มีความพยายามต้องการหาสุดยอดตลอดกาล ซึ่งหนึ่งในชื่อที่ถูกพูดถึงมากที่สุด คือคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยอดกองหน้าชาวโปรตุเกส
แต่กองหน้ารายนี้ยังไม่ใช่สุดยอดตลอดกาลด้วยเหตุผลหลาย ๆ ด้าน ซึ่งเราจะเปรียบเทียบเขากับ ทอม เบรดี้ สุดยอดตัวจริงเสียงจริงของวงการกีฬา เพื่อแสดงให้เห็นว่าเหตุผลใดที่ทำให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยังไม่ใช่สุดยอดตลอดกาลของวงการฟุตบอล
ความหมายของคำว่า “สุดยอดตลอดกาล”
หากมองไปยังความสำเร็จส่วนตัวที่เคยได้ตลอดอาชีพค้าแข้งที่ผ่านมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ย่อมถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในวงการฟุตบอลอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะเอาแค่การคว้ารางวัลบัลลงดอร์ 5 สมัย บวกกับรางวัลรองเท้าทองคำอีก 4 สมัย เท่านี้คงเพียงพอจะทำให้ใครหลายคนยกย่องให้โรนัลโด้ เป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดเท่าที่กีฬาฟุตบอลเคยมีมา
แต่กองหน้าที่ดีที่สุด ถือเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกหรือเปล่า ? ถึงตรงนี้เราคงต้องอธิบายให้ชัดเจนถึงความหมายของคำว่า “สุดยอดตลอดกาล” หรือ “Greatest of All Time”
โดยผู้เล่นที่จะถูกยกย่องให้เป็นนักกีฬาที่ดีที่สุดตลอดกาล ไม่จำเป็นต้อง ยิงประตูได้มากที่สุด หรือ ทำแต้มได้มากที่สุด ... พวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดในตำแหน่งของตัวเองด้วยซ้ำ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ผู้เล่นระดับยอดเยี่ยมตลอดกาล จะต้องพาทีมคว้าชัยชนะโดยไม่มีเงื่อนไขใดทั้งสิ้น
หากมองไปยังผู้เล่นที่มีความสามารถดังกล่าวในการแข่งขันกีฬาประเภททีม ทอม เบรดี้ แทบจะเป็นคำตอบเดียวที่เรานึกถึง เพราะความยิ่งใหญ่ของเพียงผู้เดียวกลับเหนือกว่าทีมอเมริกันฟุตบอลทั้ง 32 แฟรนไชส์ในศึก NFL
กล่าวคือ ไม่เคยมีทีมอเมริกันฟุตบอลไหนที่เคยคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์มากกว่า 6 ครั้ง แต่เบรดี้ใช้เวลาตลอดทั้งอาชีพคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ได้มากถึง 7 ครั้ง
ลองจินตนาการถึงนักเตะสักคนที่เคยคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มากกว่าสถิติ 14 ครั้งของเรอัล มาดริด ด้วยตัวคนเดียว … นั่นคือมรดกที่เบรดี้ฝากไว้แก่กีฬาอเมริกันฟุตบอล มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครในโลกฟุตบอลเคยทำได้
แต่สิ่งที่ทำให้ความสำเร็จของเบรดี้น่ามหัศจรรย์ที่สุดคือ เขาไม่เคยเป็นควอเตอร์แบ็คที่ถูกยกย่องว่ามีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดด้วยซ้ำ กล่าวให้เข้าใจง่ายคือ หากเบรดี้เล่นกีฬาฟุตบอล จะมีนักเตะอีกหลายคนที่คว้ารางวัลบัลลงดอร์ได้มากกว่าเขาอย่างแน่นอน
เพราะเมื่อมองไปยังผลงานส่วนบุคคลที่ทรงคุณค่ามากที่สุดในกีฬาอเมริกันฟุตบอล อย่าง “รางวัล NFL MVP” ผลปรากฎว่า เบรดี้ คว้ารางวัลดังกล่าวไปครองได้เพียง 3 ครั้ง
เมื่อเทียบกับควอเตอร์แบ็คในรุ่นเดียวกัน จะพบว่ามีผู้เล่นอีกสองคนในตำแหน่งนี้ที่ฝีมือยอดเยี่ยมกว่าเขาอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นคือ เพย์ตัน แมนนิ่ง และแอรอน ร็อดเจอร์ส ที่ต่างคว้ารางวัลดังกล่าวไปแล้ว 5 และ 4 ครั้งตามลำดับ
เมื่อมองไปยังสถิติด้านอื่น ทั้ง เรตติ้งการขว้าง หรือ จำนวนทัชดาวน์สูงสุดในแต่ละฤดูกาล ทุกอย่างยืนยันชัดเจนว่า เบรดี้ ไม่ใช่ควอเตอร์แบ็คที่มียอดเยี่ยมที่สุดในสองทศวรรษหลัง
หากผู้คนตามหาโรนัลโด้ และเมสซี่ แห่งวงการอเมริกันฟุตบอล คำตอบของพวกเขาจะเป็น เพย์ตัน แมนนิ่ง และร็อดเจอร์ส เพราะสถิติทุกอย่างยืนยันว่าควอเตอร์แบ็คทั้งสองรายนี้ คือผู้เล่นที่มีผลงานส่วนตัวยอดเยี่ยมที่สุดใน NFL ตลอด 20 ปีหลัง
แต่อย่างที่เราอธิบายไปตั้งแต่ต้นว่า ผู้เล่นยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล หรือ “G.O.A.T” จะต้องพาทีมชนะอย่างไม่มีเงื่อนไขภายใต้สถานการณ์ใดก็ตาม ซึ่งเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า มีนักอเมริกันฟุตบอลเพียงคนเดียวที่ทำได้แบบนั้น
นั่นคือ ทอม เบรดี้ ชายผู้พลิกสถานการณ์หลังถูกนำด้วยสกอร์ “28-3” ให้พลิกกลับมาคว้าชัยชนะในท้ายที่สุด (หากเป็นกีฬาฟุตบอลคือพลิกกลับมาชนะหลังโดนนำ 4-0) แม้คู่ต่อสู้ของเขาในวันนั้น คือ แมตต์ ไรอัน เจ้าของรางวัล MVP ในปี 2016 นั่นหมายความว่า เบรดี้สามารถเอาชนะผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในปีดังกล่าว
แต่ในวันที่ไรอันท็อปฟอร์มถึงขีดสุดในศึก Super Bowl LI ผ่านการทำ 2 ทัชดาวน์ 0 อินเตอร์เซ็ปต์ และเรตติ้งการขว้าง 144.1 คะแนน เบรดี้ที่แจก 1 อินเตอร์เซ็ปต์ และมีเรตติ้งการขว้างเพียง 95.2 ก็ยังหาทางเอาชนะเขาได้
แน่นอนว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เคยพาเรอัล มาดริด และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าชัยชนะยิ่งใหญ่มากมาย แต่ CR7 ไม่เคยพาทีมพลิกนรกในสถานการณ์แบบเดียวกับที่เบรดี้เคยผ่านมา และอันที่จริง โรนัลโด้ก็ไม่เคยต้องแบกทีมมากในระดับที่เบรดี้ทำกับทีมของเขา
ยกตัวอย่างเช่น การคว้าแชมป์ยูโร 2016 ของทีมชาติโปรตุเกส ที่เกิดขึ้นแม้โรนัลโด้จะถูกเปลี่ยนตัวออกไปตั้งแต่นาทีที่ 25 เพราะฉะนั้นหากมองตามความเป็นจริง ทีมชาติโปรตุเกสคว้าแชมป์ยุโรปได้โดยไม่ต้องพึ่งศักยภาพของโรนัลโด้ นานกว่า 90 นาทีด้วยซ้ำ
แต่มันเป็นไปได้หรือไม่ที่ นิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ กับ แทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ส จะคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ หรือกระทั่งชนะเกมเพลย์ออฟในวันที่เบรดี้เจ็บแบบกระทันหัน คำตอบคือ เป็นไปไม่ได้เลย นั่นเพราะในจังหวะชี้เป็นชี้ตายระดับปาฎิหารย์
มีเพียงผู้เล่นหมายเลข 12 รายนี้ที่เปลี่ยนความฝันเป็นความจริงได้ในการแข่งขัน นี่คือเหตุผลแรกที่ทำให้ ทอม เบรดี้ เป็นสุดยอดตลอดกาลตัวจริง นั่นเพราะเขาสามารถพาทีมคว้าชัยชนะภายใต้ทุกสถานการณ์ แบบที่ไม่มีใครเคยทำได้ในกีฬาอเมริกันฟุตบอล
บทบาทศูนย์กลางของทีมที่แตกต่างกัน
อีกหนึ่งความเหมือนที่แตกต่างระหว่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และทอม เบรดี้ คือ “การวางตัวเป็นจุดศูนย์กลางของทีม” ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับนักกีฬาระดับแถวหน้าอย่างทั้งสองคน ฃ
แต่ถึงอย่างนั้น หากมองลงไปในรายละเอียดจะพบว่า CR7 กับ TB12 มีความแตกต่างกันมากในเรื่องของเหตุผลแท้จริง ที่ทำให้พวกเขาเลือกรับหน้าที่เป็นทุกอย่างของทีม
สำหรับ โรนัลโด้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านักเตะรายนี้ ถือเป็นนักฟุตบอลที่มีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง ความเป็นมืออาชีพของเขาไม่ใช่เรื่องที่ใครควรสงสัย
เช่นเดียวกับความกระหายที่ต้องการจะประสบความสำเร็จในฐานะหมายเลขหนึ่งของวงการฟุตบอล ความจริงตรงนี้เห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ บาร์เซโลน่า 0-2 ในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2009
นั่นคือวินาทีที่ CR7 รู้ว่า หากเขาอยากย้ายต่อสู้กับลีโอเนล เมสซี่ เขาจำเป็นต้องย้ายไปอยู่กับเรอัล มาดริด เท่านั้น นั่นเป็นเพราะนอกจากเจ้าตัวจะได้โอกาสซัดกับกองหน้าชาวอาร์เจนติน่าแบบหมัดต่อหมัดแล้ว
นั่นยังเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะได้เป็นซูเปอร์สตาร์ของทีมแบบเต็มตัว เพราะโรนัลโด้รู้ดีแก่ใจว่า ตราบใดที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังอยู่กับทัพปีศาจแดง เขาจะไม่มีวันยิ่งใหญ่กว่าสโมสรหรือเพื่อนร่วมทีมคนอื่น
แน่นอนว่า เรอัล มาดริด สามารถมอบสิ่งที่โรนัลโด้ต้องการอย่างเต็มที่ เขากลายเป็นกองหน้าตัวหลักและสามารถพัฒนาตัวเองจนไล่ตามมาคว้ารางวัลบัลลงดอร์เท่ากับเมสซี่ได้สำเร็จ แต่อีกด้านของความสำเร็จตรงนี้
คือความจริงที่ คาริม เบนเซม่า ต้องถอยลงไปเป็นเพียงตัวจ่ายให้ CR7 ทำประตู ซึ่งในเวลาต่อมา ดาวยิงชาวฝรั่งเศสได้พิสูจน์ว่าเขาสามารถแบกทัพราชันชุดขาวคว้าตำแหน่งเจ้ายุโรปได้เช่นเดียวกันในปี 2022 โดยเหตุผลเดียวที่มันไม่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น คือเขาจำเป็นต้องรับบทมือขวาของโรนัลโด้ ไม่ว่าเข้าตัวจะประทับใจหรือไม่
ในส่วนของ ทอม เบรดี้ หากมองผ่าน ๆ เขาเป็นนักกีฬาที่มีลักษณะโดยทั่วไปคล้ายโรนัลโด้มาก นั่นคือ มีความมืออาชีพในฐานะนักกีฬาระดับสูงสุด
แต่ขณะเดียวกัน เบรดี้มีน้ำใจนักกีฬาแก่คู่แข่งของเขาน้อยมาก หรือบางครั้งแทบไม่มีเลย ซึ่งทุกอย่างที่เบรดี้ทำไป ไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องการเป็นหมายเลขหนึ่งของวงการ หรือต้องเป็นซูเปอร์สตาร์ที่โด่งดังเหนือเพื่อนร่วมทีมคนไหน เพราะเขาทำทุกอย่างลงไปเพื่อสิ่งเดียวคือ “ชัยชนะ”
หลักฐานสำคัญที่สุดในเรื่องนี้ คือ “ค่าเหนื่อยที่เบรดี้ได้รับในแต่ละฤดูกาล" ... อธิบายเพิ่มเติมให้เข้าใจก่อนว่า NFL มีเพดานค่าเหนื่อยที่จำกัดเอาไว้ว่าแต่ละฤดูกาล ทุกแฟรนไชส์สามารถจ่ายเงินเป็นค่าเหนื่อยผู้เล่นได้มากที่สุดแค่ไหน
และตามธรรมชาติของกีฬาชนิดนี้ที่ควอเตอร์แบ็คมักจะได้รับค่าเหนื่อยมากกว่าใครเพื่อนแบบชัดเจน หากทีมหวังจะนำเงินไปใช้ในตำแหน่งอื่น พวกเขาย่อมหวังให้ควอเตอร์แบ็คของทีมรับเงินน้อย ๆ เข้าไว้
น่าเสียดายที่เรื่องจริงไม่เคยเป็นอย่างที่ทีมอเมริกันฟุตบอลเหล่านี้หวัง เพราะทันทีที่ควอเตอร์แบ็คพิสูจน์ตัวเองว่าพวกเขาคือของจริง ผู้เล่นเหล่านี้จะเรียกร้องค่าเหนื่อยกระเป๋าฉีกที่แฟรนไชส์ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมจ่าย ผู้เล่นชื่อดังมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นแพทริค มาโฮมส์, แมทธิว สแตฟฟอร์ด, รัสเซล วิลสัน หรือแอรอน ร็อดเจอร์ส ต่างถือสัญญาที่รับค่าเหนื่อยมากกว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีทั้งหมด
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ควอเตอร์แบ็คทั้ง 4 ราย ต่างพากันคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ได้เพียงคนละหนึ่งสมัย เนื่องจากทีมจะไม่เหลืองบประมาณมากพอที่จะเสริมผู้เล่นให้แกร่งทั่วทุกตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างทีมให้แข็งแกร่งพอจะเอาชนะอีก 31 ทีมที่เหลือในลีก
น่าเสียดายที่มีเพียงเบรดี้ที่เห็นความจริงตรงนี้ ... หรือเขาอาจเป็นเพียงควอเตอร์แบ็คเพียงคนเดียวที่เลือกชัยชนะเหนือเงินจริง ๆ เพราะแม้แต่ในขณะนี้ที่เขาประสบความสำเร็จในฐานะแชมปซูเปอร์โบวล์ 7 สมัย เบรดี้รับเงินในสัญญาฉบับปัจจุบันแค่ปีละ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยครึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเงินโบนัส นั่นหมายความว่าเบรดี้รับเงินการันตีอยู่แค่ปีละ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นตัวเลขที่มีเพียงควอเตอร์แบ็ครุกกี้เท่านั้นที่จะรับเงินการันตีน้อยกว่านี้
หากจะเปรียบเทียบเป็นกีฬาฟุตบอล สถานการณ์เรื่องค่าเหนื่อยของเบรดี้ในปัจจุบัน ไม่มีความแตกต่างกับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่รับค่าเหนื่อยในระดับใกล้เคียงกับมาร์คัส แรชฟอร์ด ... แน่นอนว่าในความเป็นจริงของเกมลูกหนัง ไม่มีทางที่ CR7 จะรับค่าเหนื่อยในระดับเดียวกับดาวรุ่งแบบนั้น เพราะกีฬาฟุตบอลไม่มีเพดานค่าเหนื่อยเหมือน NFL
แต่สิ่งสำคัญที่สะท้อนออกมาให้เห็นเกี่ยวกับตัวของทอม เบรดี้ คือ เขายอมทำทุกอย่างเพื่อพาทีมคว้าชัยชนะอย่างแท้จริง แม้แต่การรับค่าเหนื่อยน้อยกว่าที่ควรจะเป็นปีละหลายสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ เบรดี้ก็เต็มใจจะทำแบบนั้น หากมันช่วยเปิดโอกาสให้เขาคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์อีกครั้ง
และท้ายที่สุด เขาก็สามารถทำมันได้จริงในฤดูกาล 2020 เมื่อช่องว่างค่าเหนื่อยที่เบรดี้ทิ้งไว้ให้ เปิดโอกาสให้แทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ส เซ็นสัญญาสองผู้เล่นคนสำคัญอย่าง อันโตนิโอ บราวน์ และลีโอนาร์ด โฟร์เนตต์เข้ามาระหว่างฤดูกาล ก่อนทั้งคู่จะทำทัชดาวน์ได้ในเกมซูเปอร์โบวล์ เพื่อพาเบรดี้คว้าแหวนวงที่ 7 ของเขาในที่สุด
น่าเสียดายที่โรนัลโด้ไม่เคยเสียสละทุกอย่างเพื่อชัยชนะเหมือนกับเบรดี้ ทุกวันนี้ CR7 ไม่เพียงจะเป็นนักเตะที่ค่าเหนื่อยมากที่สุดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แต่ยังเป็นนักเตะที่ค่าเหนื่อยแพงที่สุดในพรีเมียร์ลีก แม้คุณภาพของเขาบนสนามฟุตบอลในปัจจุบัน จะไม่ได้ครึ่งของสิ่งที่เควิน เดอ บรอยน์ และเออร์ลิง ฮาลันด์ มอบให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าแฟนปีศาจแดงทั่วโลกย่อมไม่มีปัญหา หากโรนัลโด้จะเป็นตัวสำรองที่นั่งรับเงินมากที่สุดในโลกฟุตบอล ตราบใดที่เจ้าตัวแสดงให้เห็นว่า
เขาพร้อมแลกทุกอย่างหากนั่นหมายถึงชัยชนะของต้นสังกัด แต่ความจริงที่ปรากฎขึ้นหลังการสัมภาษณ์ครั้งล่าสุด แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โรนัลโด้ยังคงมองตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล และความสำเร็จของทัพปีศาจแดงในฤดูกาลปัจจุบันไม่มีความหมาย หากเขายังคงถูกสั่งให้นั่งสำรองแบบนี้
บทพิสูจน์ในช่วงบั้นปลายอาชีพ
เหตุผลสำคัญท้ายที่สุดซึ่งพิสูจน์ว่า ทอม เบรดี้ ยังคงเป็นสุดยอดตลอดกาลตัวจริง คือเรื่องราวของเขาในฤดูกาลปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นซีซั่นที่ผลงานของเบรดี้ร่วงต่ำลงมากที่สุดครั้งหนึ่ง หลังเปิดสนาม 10 นัดแรก ด้วยผลงานชนะ 5 แพ้ 5 และทำทัชดาวน์ได้เพียง 12 ครั้ง ด้วยเรตติ้งการขว้าง 91.9 คะแนน
นี่คือผลงานที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เขาสวมเสื้อแทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ส และยังเป็นความจริงที่ได้ตอกย้ำการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา หลังเบรดี้กลับคำไม่เลิกเล่นตามคำเรียกร้องของภรรยา ซึ่งเรื่องราวของพวกเขาทั้งคู่ได้จบลงที่การหย่าร้าง
หมายความว่า ครอบครัวที่แตกสลายคือราคาที่เบรดี้ต้องจ่าย เพื่อแลกกับการลงเล่นกีฬาอเมริกันฟุตบอลอีกครั้ง ด้วยผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดฤดูกาลหนึ่งในชีวิต
เมื่อมองมุมนี้ เบรดี้เผชิญวิกฤติที่มากเกินกว่าโรนัลโด้ด้วยซ้ำ เพราะไม่ว่าเขาจะกำลังแขนตกจนน่าใจหาย หรือมีผลงานย่ำแย่ขนาดไหน เบรดี้จะยังคงต้องรับบทผู้นำทัพเพื่อพาบัคคาเนียร์สคว้าชัยชนะในเกมที่เหลืออยู่ต่อไป …
เขาถึงกับยอมทำทุกอย่าง แม้กระทั่ง ยอมเปลี่ยนไปเล่นตำแหน่งปีกเป็นการชั่วคราว ก่อนนำมาซึ่งเพลย์ที่น่าอับอายที่สุดในอาชีพของเขา เพราะเบรดี้ดันวิ่งสะดุดล้ม ก่อนเจ้าตัวจะไปขัดขาผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม เสียทั้งบอล เสียทั้งโทษ เรียกว่าทุกอย่างน่าอับอายไปหมด
แต่เบรดี้หันไปโวบวายใส่โค้ชที่เลือกแผนงี่เง่า หรือตะโกนด่าโฟรเน็ตต์ที่ขว้างบอลไม่ดีหรือไม่ ? คำตอบคือ เบรดี้ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเองต่อไป และท้ายที่สุด บัคคาเนียร์สกลายเป็นฝ่ายชนะในเกมดังกล่าวเหนือซีแอตเทิล ซีฮอคส์ ด้วยสกอร์ 21 ต่อ 16
เบรดี้จึงยังเขียนสถิติใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์ NFL แม้แต่ในฤดูกาลที่ย่ำแย่ที่สุดปีหนึ่งของเขา นั่นคือ การเป็นควอเตอร์แบ็คคนแรกที่คว้าชัยชนะบนแผ่นดินเยอรมัน
เรื่องราวของเบรดี้กับบัคคาเนียร์ ถือเป็นเครื่องยืนยันว่าทำไม TB12 ถึงเป็นสุดยอดตัวจริงของวงการกีฬา เนื่องจากเบรดี้ถูกเขี่ยทิ้งจากนิวอิงแลนด์ เพเทียตส์ หลังหลายคนเชื่อว่าเขาไม่ใช่ควอเตอร์แบ็คระดับท็อปอีกแล้ว และการเซ็นสัญญากับทีมที่ไม่เคยผ่านเข้ารอบเพลย์ออฟนานกว่าสิบปี อย่าง บัคคาเนียร์ส ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า เบรดี้ ไม่ใช่สุดยอดอีกต่อไป
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับเป็นเรื่องตรงกันข้าม เมื่อเบรดี้ไม่เพียงพาทัพโจรสลัดแดงเข้ารอบเพลย์ออฟได้สำเร็จ แต่ยังไปไกลถึงการคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์
แม้กระทั่งวันนี้ที่เขาอาจเหลือกำลังแขนเพียงครึ่งเดียวจากสองปีที่แล้ว เบรดี้ยังคงเป็นทุกอย่างของบัคคาเนียร์ส และถ้าหากแฟรนไชส์ต้องการจะลุ้นไปเพลย์ออฟเป็นซีซั่นที่สามติดต่อกัน เบรดี้รู้ว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่ทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้
ทางกลับกัน โรนัลโด้ ที่ตัดสินใจโบกมือลาเรอัล มาดริด เพื่อไปอยู่กับยูเวนตุส สโมสรที่ยัง “เต็มใจ” ให้เขาเป็นหมายเลขหนึ่งเหนือคนอื่นต่อไป ช่วงเวลาของเขาในตูริน หรือแม้กระทั่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน โรนัลโด้ไม่เคยแสดงใหเห็นเลยว่าเขาคือศูนย์กลางของทีมที่จะพาต้นสังกัดประสบความสำเร็จได้จริง
ผลงานของโรนัลโด้ร่วงหล่นลงนับตั้งแต่ทีมประสบปัญหาการเงิน และโรนัลโด้ก็ไม่สามารถยกระดับทีมให้ต่อสู้กับอินเตอร์ มิลาน ในฤดูกาล 2020-21 ได้ด้วยซ้ำ และเมื่อเขาย้ายมาอยู่กับทัพปีศาจแดงเป็นคำรบสอง
โรนัลโด้ก็ไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองในฐานะศูนย์กลางของทีมได้ จนทุกคนต่างเห็นตรงกันแล้วว่า ไม่มีทางที่โรนัลโด้จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนตัวจริงได้ ตราบใดที่เขายังไม่ปรับตัวเข้ากับระบบของเอริก เทน ฮาก
นั่นคือ เลิกเรียกร้องให้ทุกคนจ่ายบอลมาที่เขา และก้มหน้าก้มตาวิ่งไล่บอล ในฐานะผู้เล่นหนึ่งใน 11 คนที่ลงสนาม ซึ่งจะไม่มีวันมีสิทธิพิเศษเหนือ ดิโอโก้ ดาโลต์ หรือ คริสเตียน อิริคเซ่น
แต่อย่างที่เราเห็นว่า โรนัลโด้ ไม่เคยคิดที่จะปรับตัวกับแทคติคใหม่ของเทน ฮาก แถมยังออกลูกโวยวายโทษว่ากุนซือชาวดัตช์ไม่เคยเคารพเขา ทั้งที่ความจริง CR7 ไม่เคยคิดจะปรับตัวเข้ากับทีมเลย การยังหลงผิดคิดว่าเขายิ่งใหญ่และมีคุณค่าเหนือกว่าทุกคนในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จึงเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของเขา
เพราะขณะเดียวกัน เบรดี้ที่เพิ่งเลิกรากับภรรยาสุดที่รัก กลับกำลังทำทุกอย่างเพื่อพาทีมคว้าชัยชนะโดยไม่ปริปากบ่น ทั้ง การยอมรับค่าเหนื่อยน้อยกว่าใคร, ยอมออกไปเล่นตำแหน่งปีกแบบน่าอับอาย หรือเรื่องราวอื่น ๆ อีกมากมาย เบรดี้ไม่เคยสนใจว่าเขาจะถูกต่อว่า, นินทา หรือต้องทำอะไรแปลก ๆ อีกแค่ไหน ตราบใดที่เขามองเห็นหนทางที่จะพาทีมคว้าชัยชนะ ... เขาจะทำ
และอย่างที่เราบอกไปตั้งแต่ต้นบทความว่า “ผู้เล่นยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล” คือบุคคลที่ต้องพาทีมคว้าชัยชนะไม่ว่าจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขใด ซึ่งทั้งหมดที่เราเล่ามาได้ยืนยันว่า ทอม เบรดี้ คือ G.O.A.T ตัวจริงของกีฬาอเมริกันฟุตบอล
ส่วน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คือกองหน้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในรอบ 20 ปีหลัง แต่เขาไม่ใช่สุดยอดตลอดกาลของวงการลูกหนัง ... ไม่ใกล้เคียงแม้แต่นิดเดียว