ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ : แข้งตำนานลิเวอร์พูลที่กลับมาช่วยทีมด้วยใจไม่หวังประโยชน์ส่วนตัว

Author Photo
SN Illustration

มีนักเตะมากมายตัดสินใจกลับมาค้าแข้งกับสโมสรฟุตบอลที่เคยปั้นพวกเขาเป็นตำนานอีกครั้ง บางคนประสบความสำเร็จไม่ต่างจากคำรบแรก แต่บางคนกลับสูญเสียความเคารพมากมายด้วยเหตุผลบางอย่าง จนอาจคิดได้ว่าเขาไม่ควรกลับมาเล่นกับทีมฟุตบอลแห่งนี้อีก

ท่ามกลางโชคชะตาที่แตกต่างกัน ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ตำนานดาวยิงหมายเลข 9 ของลิเวอร์พูล อาจเป็นนักเตะคนหนึ่งที่กลับมาเล่นให้กับสโมสรเดิมด้วยความสุขมากที่สุด แม้การกลับมาเพียงระยะเวลาปีครึ่งของเขาในช่วงปี 2006-07 จะไม่ได้เป็นตัวหลัก หรือสร้างความสำเร็จอะไรมากมาย

แต่การกลับมาครั้งนี้ถือเป็นการยืนยันว่า “ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ รักลิเวอร์พูลด้วยหัวใจ” และการกลับสู่ทีมฟุตบอลที่เขารักกลับมีค่ามากกว่าถ้วยรางวัล หรือบทบาทสำคัญใดในสนามแข่งขัน นี่จึงเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจที่สุด เมื่อนักเตะชื่อดังคนหนึ่งยอมทิ้งทุกอย่าง เพืยงเพราะเขาต้องการกลับมาเล่นให้กับสโมสรที่เขาผูกพันมากที่สุดอีกครั้ง

ในวันที่พระเจ้าโบกมืออำลา

ความผูกพันระหว่างร็อบบี้ ฟาวเลอร์ และลิเวอร์พูล ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะในฐานะนักเตะกับสโมสร เนื่องจากตำนานหมายเลข 9 แห่งแอนฟิลด์ ถือเป็นแฟนบอลตัวยงของทัพหงส์แดงมาตั้งแต่เด็ก แถมยังเป็นชาวเมืองลิเวอร์พูลโดยกำเนิด นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกนักที่ฟาวเลอร์ จะได้รับความนิยมชมชอบจนถูกยกย่องให้รับฉายา “พระเจ้า” จากเหล่าเดอะ ค็อป ทั่วโลก

เพราะนับตั้งแต่เจ้าตัวก้าวขึ้นจากทีมอคาเดมี่ สู่ทัพหงส์แดงชุดใหญ่อย่างเป็นทางการในปี 1993 นับจากวันนั้นยังไม่มีกองหน้าของลิเวอร์พูลคนใดที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้มากกว่าฟาวเลอร์ 

เอาแค่เพียงช่วงเวลาแรกที่เจ้าตัวเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ในปี 1993-2000 ฟาวเลอร์ก็ซัดไปแล้ว 120 ประตู ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าผลงานของไมเคิล โอเว่น, เฟร์นานโด ตอร์เรส, หลุยส์ ซัวเรซ และตำนานกองหน้าอีกหลายคนของลิเวอร์พูล

Robbie Fowler Liverpool

ยิ่งถ้าย้อนไปยังช่วงยุค 90s ที่ผลงานในสนามของลิเวอร์พูลไม่ได้เต็มไปด้วยความสำเร็จเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน การที่จู่ ๆ แฟนหงส์แดงก็ได้เป็นเจ้าของสุดยอดกองหน้า ซึ่งไม่เพียงเป็นเด็กปั้นของสโมสร แต่ยังสามารถยิงประตูได้ครบหนึ่งร้อยลูกไวกว่าตำนานตลอดกาลในยุคทองอย่าง เอียน รัช นั่นยิ่งทำให้แฟนหงส์แดงภูมิใจในตัวฟาวเลอร์มาก

แถมการเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดคว้าทริปเปิลแชมป์ในปี 2001 (เอฟเอคัพ, ลีกคัพ และยูฟ่าคัพ) นั่นยิ่งทำให้สถานะของฟาวเลอร์ถูกยกย่องมากขึ้นไปในหมู่แฟนหงส์แดง เพราะเขาแทบจะเป็นดาวดังคนเดียวที่อยู่กัยทีมในช่วงประสบความสำเร็จ รวมถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากของสโมสรในทศวรรษก่อนหน้า

น่าเสียดายที่วันคืนอันชื่นมื่นของฟาวเลอร์กับลิเวอร์พูลจบลงรวดเร็วกว่าที่ใครหลายคนคาดคิดไว้มาก เพราะในฤดูกาล 2001-02 เจ้าตัวมีปัญหาอย่างหนักกับ เชราร์ อุลลิเยร์ กุนซือของทีมในขณะนั้น ยิ่งบวกกับความจริงที่ทีมได้สองกองหน้าตัวความหวังคู่ใหม่อย่าง ไมเคิล โอเว่น และเอมิล เฮสกี้ นั่นยิ่งทำให้สถานะของพระเจ้าแห่งแอนฟิลด์ตกที่นั่งลำบาก

ก่อนการตัดสินใจที่ช็อคแฟนบอลจะเกิดขึ้นในท้ายที่สุด เมื่อฟาวเลอร์ถูกขายทิ้งแก่ลีดส์ ยูไนเต็ด ในช่วงตลาดซื้อขายหน้าหนาวของฤดูกาล 2001-02 ด้วยราคา 11 ล้านปอนด์ 

นับจากวินาทีนั้น ความโกรธเกรี้ยวได้ก่อตัวขึ้นในหมู่เดอะ ค็อป ทั่วโลก กล่าวกันว่าสื่อท้องถิ่นในเมืองลิเวอร์พูลต้องเผชิญหน้ากับจดหมายและสายโทรศัพท์มากมาย เนื่องจากแฟนบอลที่ไม่เข้าใจเหตุผลของการย้ายทีมครั้งนี้ ต้องการคำตอบที่ชัดเจนว่าสโมสรเลือกขายพระเจ้าของพวกเขาออกไปจากทีมด้วยเหตุผลอะไร ?

แต่ถึงเหตุผลของการขายฟาวเลอร์จะเป็นอะไร ... ไม่มีใครที่จะสามารถรั้งให้เขาอยู่ค้าแข่งในถิ่นแอนฟิลด์ได้อีกแล้ว แฟนหงส์แดงจึงต้องยอมรับความจริง เมื่อสโมสรต้องก้าวเดินต่อไปโดยไม่มีพระเจ้าคนเดิมที่พวกเขารัก แม้นัดสุดท้ายที่ฟาวเลอร์ลงเล่นให้ลิเวอร์พูลเมื่อปี 2001 จะเป็นการซัดแฮตทริกใส่เลสเตอร์ ซิตี้ ก็ตาม

อย่างไรก็ดี แฟนบอลลิเวอร์พูลจำนวนหนึ่งกลับยังคงเชื่อมั่น และศรัทธาว่าสักวันฟาวเลอร์จะกลับมาสวมเสื้อสีแดงของพวกเขาอีกครั้ง นั่นเพราะความรักสโมสรแห่งนี้ในฐานะ “แฟนบอล” ลิเวอร์พูลที่ฟาวเลอร์มีในฐานะเดอะ ค็อป คนหนึ่ง จะไม่มีวันลบหายไปง่าย ๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

Robbie Fowler celebration

หนทางพาตำนานกลับบ้านอีกครั้ง

ข่าวลือการย้ายกลับสู่ถิ่นแอนฟิลด์ของร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เขาโบกมือลาสโมสรไป น่าเสียดายที่การย้ายทีมครั้งต่อมาของเขา กลับเป็นการเซ็นสัญญาเข้าร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2003 เพื่อร่วมงานกับเควิน คีแกน อดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษ และนายใหญ่เพียงไม่กี่คนที่ไว้วางใจเขาให้เป็นกองหน้าตัวจริงของทีม

ฟาวเลอร์ค้าแข้งอยู่กับทัพเรือใบสีฟ้าจนถึงฤดูกาล 2005-06 ซึ่งถือเป็นขวบปีที่ยากลำบากของเขาอีกครั้ง เมื่อคีแกนตัดสินใจโบกมือลาทีมไปตั้งแต่ปลายฤดูกาลก่อน ส่งผลให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องเปิดรับกุนซือคนใหม่เข้ามาทำงาน 

นั่นคือ สจ๊วร์ต เพียร์ซ ซึ่งแน่นอนว่านายใหญ่รายนี้ไม่ได้มีความชื่นชอบในตัวฟาวเลอร์แม้แต่น้อย นั่นจึงทำให้ดาวยิงวัย 30 ปี ตกเป็นตัวเลือกหลังจากดาริอุส วาสเซลล์ หรือแม้กระทั่ง แอนดี้ โคล ในวัย 33 ปี

ขณะเดียวกันกับที่สถานการณ์ของฟาวเลอร์ในถิ่นเรือใบสีฟ้ากำลังสั่นคลอน ต้นสังกัดเก่าของเขาอย่างลิเวอร์พูลก็กำลังเจอปัญหาใหญ่ในแดนหน้า 

เมื่อลูกทีมของราฟาเอล เบนิเตซ ไม่สามารถต่อยอดโมเมนตั้มจากการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เมื่อซีซั่นก่อน และกลายเป็นเพียงทีมที่กำลังรั้งอันดับ 3 ของตารางพรีเมียร์ลีก โดยตำแหน่งแชมป์ที่พวกเขาวาดฝันไว้เริ่มอยู่ไกลเกินเอื้อม

เพื่อจะเขยิบเข้าไปใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้มากขึ้น กองหน้าของลิเวอร์พูลต้องทำผลงานให้ดีกว่าที่เป็นมาในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง และเมื่อมองไปยังผลงานของ ปีเตอร์ เคราช์, เฟอร์นานโด มอริเอนเตส กับ ฌิบริล ซิสเซ่ ... ดูเหมือนว่าอาวุธในแดนหน้าของทัพหงส์แดงจะยังยอดเยี่ยมไม่พอ

โชคดีอย่างยิ่งของเบนิเตซ เพราะเมื่อไม่กี่เดือนก่อนฤดูกาล 2005-06 จะเริ่มต้น เขาได้มีโอกาสพบปะกับฟาวเลอร์เป็นการส่วนตัว ขณะที่นายใหญ่สเปนเข้าไปฉลองชัยชนะของทีมในผับแห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยแฟนบอลลิเวอร์พูลที่กำลังเมามายไม่ได้สติ 

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเบนิเตซได้ยินคำพูดใดบ้างในค่ำคืนนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เขามองเห็นอย่างแน่นอนคือ ฟาวเลอร์เป็นขวัญใจตลอดกาลของแฟนบอลลิเวอร์พูล และมันคงไม่แย่เกินไปนักหากเขาจะเสนอเสื้อสีแดงให้ดาวยิงรายนี้สวมใส่อีกครั้ง

Robbie Fowler Liverpool Roy Keane Manchester United

คำพูดอันเมามายและจินตนาการของแฟนบอลที่เกิดขึ้นในผับวันนั้น กลายเป็นความจริงแบบที่แฟนหงส์แดงคนไหนไม่มีวันได้ตั้งตัว เมื่อในเดือนมกราคม ปี 2006 ฟาวเลอร์ตัดสินใจยกเลิกสัญญาที่เหลืออยู่ครึ่งปีกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และยอมลดค่าเหนื่อยลง เพื่อมาเล่นให้กับลิเวอร์พูลด้วยสัญญาระยะสั้น 6 เดือน ถือเป็นการกลับสู่แอนฟิลด์อีกครั้ง หลังจากพระเจ้าโบกมือลาทีมที่เขารักไป 4 ปี

“มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ นี่คือความฝันที่กลายเป็นจริง หลังจากผมเซ็นสัญญา และได้กลับมานั่งทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ บนรถที่จอดอยู่นอกสนามแอนฟิลด์ มันเป็นช่วงเวลาที่อบอวลด้วยความรู้สึกมากมายอย่างแท้จริง” ฟาวเลอร์ ให้สัมภาษณ์เมื่อเขากลับมาเป็นสมาชิกของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลอีกครั้ง

กลับมาเพราะที่นี่คือบ้านของผม 

ถึงตรงนี้ แฟนบอลลิเวอร์พูลต่างได้สิ่งที่พวกเขาเฝ้ารอคอยมานานหลายปี นั่นคือการได้เห็น ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ กลับมาสวมเสื้อสีแดงของสโมสรอีกครั้ง ... 

แต่อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ตำนานหมายเลข 9 กลับมาสู่แอนฟิลด์อีกครั้ง ในเมื่อเจ้าตัวยอมลดค่าเหนื่อย เท่ากับว่าเรื่องเงินไม่ใช่ปัจจัย และร่างกายของเขาที่เริ่มโรยราเนื่องจากอาการบาดเจ็บช่วงหลัง ก็ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะยึดตัวจริงในทัพหงส์แดงได้เหมือนเคย

“ความรักในสโมสรฟุตบอลิเวอร์พูล” จึงแทบจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ฟาวเลอร์เลือกเซ็นสัญญากับทีมโดยไร้เงื่อนไข เพราะอย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า ลิเวอร์พูลกำลังมีปัญหาเรื่องของกองหน้าอยู่ในขณะนั้น ซึ่งนอกจากแฟนบอล และราฟาเอล เบนิเตซ ที่มองเห็นปัญหานี้ 

Robbie Fowler Liverpool

ฟาวเลอร์เองก็เข้าใจปัญหาที่ทีมรักประสบอยู่เช่นกัน การกลับมาร่วมทัพหงส์แดงคราวนี้ของเขา จึงไม่เคยมีเหตุผลมากกว่า การกลับมาช่วยทีมรักของตนเองเท่านั้น

“ลิเวอร์พูลยังคงมีนักเตะฝีเท้าดีมากมาย แต่พวกเขาประสบปัญหาในการทำประตู ผมคิดว่าบางทีพวกเขาอาจจะต้องการใครสักคนเข้ามาช่วยกองหน้าเหล่านี้ และบางทีใครคนนั้นอาจต้องมีความรักต่อทีมสักหน่อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมกำลังขาดหายไป” ฟาวเลอร์ย้อนเล่าถึงเหตุผลที่เขาย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลเป็นคำรบสอง

“ผมหมายถึง มอริเอนเตส ก็อยู่ที่นั่น, เคราช์อยู่ที่นั่น และซิสเซ่ก็อยู่ที่นั่น คุณก็รู้ว่าเขาเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม แต่นั่นแหละ ผมเปรียบเทียบพวกเขากับช่วงเวลาแรกของผมกับลิเวอร์พูล ถ้าคุณอยากจะมองแบบนั้น ซึ่งพวกเขากำลังเจอปัญหากับการทำประตูอยู่ในเวลานั้น”

มีเสียงสะท้อนจากบุคลากรหลายคนในทัพหงส์แดงที่แสดงให้เห็นว่าฟาวเลอร์ดีใจแค่ไหน เมื่อได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของทัพแอนฟิลด์อีกครั้ง ทั้ง เบนิเตซที่กล่าวว่าไม่เคยเห็นใครดีใจเมื่อได้เซ็นสัญญากับทีมใหม่ขนาดนี้มาก่อน และเจมี่ คาร์ราเกอร์ ที่บอกว่า เรื่องการย้ายกลับมาสู่แอนฟิลด์อีกครั้งของฟาวเลอร์ กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปทั่วเมือง

แต่เสียงสะท้อนจากใครคงไม่มีความสำคัญเท่าคำพูดของเจ้าตัวเอง ที่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเขาคิดผิดที่ตัดสินใจย้ายออกจากสโมสรเมื่อปี 2001 ฟาวเลอร์ถึงกับเคยเขียนในหนังสือ Fowler: My Autobiography ตั้งแต่ปี 2005 ว่า ตัวเขาควรจะยังคงสวมเสื้อลิเวอร์พูลด้วยซ้ำ

“ผมเคยพูดไปแล้วว่าผมเป็นคนตัดสินใจย้ายไปลีดส์เอง เพราะที่นั่นคือสโมสรที่ใหญ่และเป็นสโมสรที่ดี ผมตัดสินใจแบบนั้นเพราะผมต้องการจะเล่น และผมก็ยอมรับการตัดสินใจของตัวเอง” ฟาวเลอร์ยอมรับว่าการตัดสินใจย้ายออกจากลิเวอร์พูล คือความผิดพลาดครั้งหนึ่งในชีวิตเขา

“แต่เมื่อคุณไม่เคยย้ายไปเล่นในสโมสรอื่น คุณจะไม่มีวันเข้าใจว่าลิเวอร์พูลยิ่งใหญ่แค่ไหน และเมื่อคุณย้ายไปสโมสรอื่น คุณถึงเข้าใจความพิเศษ และความยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูล”

“ผมพูดแบบนั้นเพราะผมไปเล่นมาหมดแล้ว ทั้ง ลีดส์ และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทั้งสองสโมสรเป็นทีมใหญ่ แต่พวกเขาไม่เคยยิ่งใหญ่ใกล้เคียงกับลิเวอร์พูล”

Robbie Fowler

ฟาวเลอร์เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเขาเลือกกลับมายังลิเวอร์พูล แม้รู้ว่าตัวเองคงเป็นแค่ตัวเลือกลำดับท้าย ๆ และจะไม่สามารถทำประตูให้กับทีมได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนก่อน 

แต่สิ่งสำคัญคือฟาวเลอร์รู้สึกสบายใจมากที่ได้กลับมายังสโมสรที่เขารู้สึกเหมือนบ้านอีกครั้ง เขายอมรับด้วยใจจริงว่าการลงเล่นเป็นตัวจริง หรือการคว้าแชมป์ไม่มีความสำคัญเลย เมื่อเขาได้เล่นให้กับสโมสรที่ไม่เคยอยากย้ายออกไปแม้แต่วินาทีเดียว

ผลงาน 5 ประตูจากทุกรายการในฤดูกาล 2005-06 จึงอาจเป็นผลงานที่ไม่ได้โดดเด่นมากนักของฟาวเลอร์ แต่สำหรับคุณค่าทางจิตใจที่แฟนบอลลิเวอร์พูลได้รับจากตำนานหมายเลข 9 

นั่นก็มากพอที่จะทำให้สโมสรเลือกต่อสัญญาเขาออกไปอีกหนึ่งปี ซึ่งฟาวเลอร์เองไม่ลังเลจะตอบรับข้อเสนอ นั่นส่งผลให้เขาสร้างสถิติยิงในพรีเมียร์ลีกภายใต้สีเสื้อหงส์แดง 128 ประตู อันเป็นสถิติสูงสุดที่ยังไม่มีใครทำลายได้ถึงทุกวันนี้ (อันดับสองคือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ 124 ประตู)

ฟาวเลอร์สิ้นสุดช่วงเวลาของเขากับลิเวอร์พูลอย่างเป็นทางการ หลังจบฤดูกาล 2006-07 โดยฝากผลงานยิงเพิ่มทุกรายการอีก 7 ประตูในฤดูกาลดังกล่าว 

แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ฟาวเลอร์ยิงประตูให้กับลิเวอร์พูลเท่าไหร่ เพราะการเดินทางครั้งนี้คือโอกาสสำคัญที่ทำให้ฟาวเลอร์ได้บอกลาสโมสรที่เขารักอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่เหมือนครั้งก่อนหน้าในปี 2001 ที่เขาถูกเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่ครึ่งแรกแบบไม่ใยดี

“สิ่งหนึ่งที่ผมเสียดายมากที่สุดในฐานะนักฟุตบอลคือ ในแมตช์สุดท้ายก่อนที่ผมจะย้ายทีมออกไป ผมถูกเปลี่ยนตัวออกในเกมครึ่งแรกกับซันเดอร์แลนด์ และผมไม่มีโอกาสได้บอกลากับแฟนบอลเลย” ฟาวเลอร์กล่าวถึงสิ่งที่เขาอยากกลับมาแก้ไขให้ถูกต้องกับลิเวอร์พูล

วันที่ 13 พฤษภาคม ปี 2007 นี่คือวันสุดท้ายอย่างเป็นทางการที่ฟาวเลอร์ได้ลงเล่นกับลิเวอร์พูลในสนามแอนฟิลด์ ผลงานของเขาในเกมดังกล่าวไม่มีความสำคัญเท่ากับเสียงปรบมือที่เขาได้รับ นั่นเป็นคำขอบคุณที่สมควรสำหรับนักเตะที่ครั้งหนึ่งไม่เพียงแค่เป็นพระเจ้าสำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูล และเลือกจะกลับมาช่วยเหลือพวกเขาอีกครั้ง โดยไม่ต้องการเงินหรือชื่อเสียงใดเป็นการตอบแทน

ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ จึงยังคงเป็นตำนานและนักเตะที่แฟนบอลลิเวอร์พูลรักอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย แม้เขาจะไม่เคยคว้าบัลลงดอร์เหมือนกับไมเคิล โอเว่น, ไม่เคยพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเหมือนซาลาห์ และไม่เคยได้คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เหมือน สตีเว่น เจอร์ราร์ด 

แต่ด้วยความจงรักภักดีกับสโมสรแห่งนี้แบบไม่มีเงื่อนไข เท่านั้นก็เพียงพอจะทำให้พระเจ้าหมายเลข 9 อยู่ในใจของแฟนบอลหงส์แดงตลอดกาล

Steven Gerrard Liverpool testimonial Robbie Fowler Luis Suarez 2013

“หากคุณโทรศัพท์หาผมในตอนนี้ เพื่อบอกให้ผมกลับมาเล่นให้ลิเวอร์พูลอีกครั้ง คุณจะเห็นผมที่ยิมทันทีในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า เพราะผมรักลิเวอร์พูลทั้งในฐานะสโมสรและบ้านหลังหนึ่ง มันคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของผม” ฟาวเลอร์กล่าวความหมายแท้จริงที่สโมสรลิเวอร์พูลมีต่อตัวเขา

NBA LEAGUE PASS สมัครเพื่อชมการแข่งขันเอ็นบีเอสดทุกนัดคลิก

ผู้แต่ง
Author Photo
Beyond the score: The sports world explained. The Sporting News has been a trusted sports media publisher since 1886, delivering the news, insights and entertainment that fans around the world need to know.
LATEST VIDEOS