แฟนฟุตบอลทั่วไปต่างก็คุ้นเคยกับลีกฟุตบอลในยุโรป ที่มีมาตรฐานในระดับสูงที่สุดในโลก ไม่ว่าจะในรายการอย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรปก็ตาม
แน่นอนว่าการแข่งขันเหล่านี้ดึงความสนใจในทุกรูปแบบของโลกฟุตบอลไปจนหมด ในหลายประเทศลีกฟุตบอลชั้นนำของยุโรป ได้รับความนิยมมากว่าลีกฟุตบอลในบ้านตัวเองเสียอีก (เช่น ประเทศไทย) ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะการแข่งขันฟุตบอลในลีกใหญ่ยุโรป คุณภาพยอดเยี่ยมมากจริง ๆ
ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีใครมาสนใจ เมเจอร์ ลีก ซ็อคเกอร์ หรือ MLS ลีกฟุตบอลเบอร์หนึ่งของสหรัฐอเมริกา
แต่หลายคนคงไม่รู้ว่า MLS เติบโตอย่างมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งในแง่ความนิยม และมูลค่าของลีก จนตอนนี้เริ่มมีการคาดการณ์ว่าในอนาคต ลีกฟุตบอลอเมริกาจะไม่ใช่ศาลาพักใจของแข้งดังสูงอายุ แต่เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของวงการฟุตบอลยุโรป
เมเจอร์ลีกในอดีต
มองย้อนกลับไป MLS เป็นเหมือนกับบ้านพักคนชราของนักเตะวัยใกล้เกษียณ โดยเฉพาะนักเตะระดับโลกจากฝั่งยุโรปหลายต่อหลายคน มักย้ายไปที่สหรัฐอเมริกาเพื่อคว้าเงินก้อนสุดท้ายก่อนที่จะแขวนสตั๊ด นั่นคือภาพจำที่ฝังหัวของแฟนบอลทุกไป เพราะเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับวงการฟุตบอลลีกสหรัฐฯ มาหลายปี
แต่ในตอนนี้ลีกนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว MLS ทั้งสนุกและรวดเร็ว รวมถึงมีนักเตะดาวรุ่งมากมายที่น่าสนใจในลีกนี้ ทำให้ลีกนี้กำลังกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนำมาถึงมูลค่าที่สูงขึ้นไปด้วย
ย้อนกลับไปในปี 2021 สโมสรที่มีมูลค่าสูงที่สุดในลีกคือ ลอสแอนเจลิส เอฟซี 860 ล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐ, แอตแลนต้า ยูไนเต็ด 845 ล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐและ แอลเอ แกแล็กซี่ 835 ล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐ คิดง่าย ๆ คือ 3 ทีมข้างต้น มีมูลค่าคิดเป็นเงินไทย มากกว่า 30,000 ล้านบาท
ถ้าหากมองในกีฬาของฝั่งสหรัฐอเมริกามันก็ไม่ได้มากมายอะไร เพราะเทียบกับอเมริกันฟุตบอล มูลค่าของ MLS ยังห่างกันหลายเท่าตัว
แต่ถ้าเทียบในสโมสรฟุตบอลด้วยกัน มูลค่าของทีมชั้นนำใน MLS ก็พอ ๆ กับทีมระดับกลางในพรีเมียร์ลีก เช่น เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และลีดส์ ยูไนเต็ด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตอนนี้ ในแง่ของการสร้างความมั่นคงทางธุรกิจ ทีมในลีกสหรัฐอเมริกาวัดกับทีมฟุตบอลชั้นนำในอังกฤษได้แบบไม่ยากเย็น
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือบรรยากาศการลงทุน ที่น่าดึงดูดที่นำพาให้ฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศสหรัฐอเมริกา มีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ
การลงทุนที่น่าดึงดูด
โดยถ้าหากนับเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วมูลค่าของเมเจอร์ลีกซอกเกอร์เพิ่มขึ้นในช่วงปี 2018-2019 สูงถึง 3 เท่า มากกว่า บาสเกตบอล NBA และ อเมริกันฟุตบอล NFL และเป็น 4 เท่าเมื่อเทียบกับลีก MLB ของกีฬาเบสบอล และ ฮอกกี้ NHL ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่ามหัศจรรย์มาก ๆ
ความต้องการของลีกนี้ เห็นได้ชัดว่ามันกำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ หากย้อนกลับไปในปี 2007 โตรอนโต้ เอฟซี ร่วมลีกด้วยการจ่ายเงินซื้อแฟรนไชส์เพียง 10 ล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐเท่านั้น หรือประมาณ 380 ล้านบาท
ขณะที่ในปี 2022 ชาร์ล็อต เอฟซี ทางด้านเจ้าของอย่าง เดวิด เทปเปอร์ ยอมจ่ายเงินมากถึง 325 ล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐ หรือประมาณ 12,500 ล้านบาท เพื่อให้ได้เข้าร่วมลีก
คิดง่าย ๆ ว่าตอนนี้การจะเป็นส่วนหนึ่งของลีกฟุตบอล MLS ต้องเสียเงินมากกว่าเดิม 30 เท่า และราคามันแทบไม่ต่างจากการลงทุนในสโมสรฟุตบอลของ 5 ลีกใหญ่ในยุโรป แต่เศรษฐีชาวอเมริกัน ก็ยังยอมจ่ายเงินก้อนโตเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของลีกนี้
เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา MLS ได้พิสูจน์แล้วว่า ลีกนี้มีแต่จะโตขึ้นไม่เคยหยุด เท่ากับว่าต่อให้จ่ายเงินก้อนโตในตอนนี้ ยังไงก็ได้กำไรในอนาคตแน่นอน ตราบใดที่ลีกยังจะโตไปเรื่อย ๆ
ทั้งที่ถ้าดูด้วยข้อมูลเบื้องต้น ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคโควิดมีเพียง 3 สโมสรเท่านั้น ที่ได้กำไรราว 50 ล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐ หรือประมาณ 1,900 ล้านบาท
มากกว่านั้นในปี 2018 ทั้ง 23 ทีมที่ได้ร่วมแข่งในลีกนี้ขาดทุนไปมากถึง 100 ล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐ หรือประมาณ 3,800 ล้านบาท
ถึงจะขาดทุน และได้กำไรไม่เยอะ แต่นั่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในการนำมาตัดสินใจลงทุน เพราะในตอนนี้ MLS มีเงินหมนุเวียนอยู่ในธุรกิจขั้นต่ำ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 76,000 ล้านบาท นอกจากนี้ MLS ยังพร้อมการันตีว่าในอนาคตอันใกล้ ทุกทีมจะได้กำไรไม่ต่ำกว่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ในแต่ละปีอีกด้วย
แน่นอนว่า ข้อได้เปรียบสำคัญที่ทำให้ลีกฟุตบอล MLS เติบโตไวแบบที่ใครก็คาดไม่ถึง คือระบบแฟรนไชส์สไตล์อเมริกันเกมส์นี่แหละ เพราะถ้าจะมีส่วนร่วมก็ต้องซื้อทีมเข้าไปแข่ง ซึ่งแน่นอนว่ามีการซื้อขายทีมครั้งหนึ่ง ก็มีเงินหลายร้อยล้านเข้าสู่วงการฟุตบอล ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าต่อไปได้อีก
จากลีกที่ไม่ได้รับความนิยมอะไรมากมายในตอนเริ่มต้น หรืออาจบอกได้ว่าดูล้มเหลวด้วยซ้ำในตอนแรก กลับกันในตอนนี้กำลังเดินหน้าผลักดันตัวเองให้โด่งดัง และโดดเด่นด้วยความแตกต่างจากกีฬาอื่นที่มีมาแต่เดิมในประเทศสหรัฐอเมริกา
MLS จึงกลายเป็นอะไรที่ใหม่ๆ ที่คนรุ่นใหม่ในสหรัฐฯ พร้อมจะหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้น
การเติบโตของฟุตบอลในสหรัฐ
ฟุตบอลสามารถดึงดูดแฟนกีฬาได้มากหน้าหลายตาในประเทศ โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ โดยจากผลสำรวจในปี 2019 พบว่า 55% สำหรับแฟนบอลที่ดูพรีเมียร์ลีกในสหรัฐฯจะมีอายุ 45 ปีหรือน้อยกว่านั้น ซึ่งถือเป็นช่วงอายุที่เหมาะแก่การขายโฆษณา
ขณะที่เอ็นบีซีที่เป็นช่องทางถ่ายทอดสดมีค่าเฉลี่ยผู้ชม 879,000 ครัวเรือนต่อเกมจากในทุกแพลทฟอร์ม
ย้อนกลับไปในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร 2020 ที่จะขึ้นในช่วงปี 2021 ที่ผ่านมา ระหว่างทีมชาติอังกฤษ และทีมชาติอิตาลี มีคนดูมากถึง 9.4 ล้านคน ซึ่งถือว่ามีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้นกว่านัดชิงชนะเลิศยูโร 2016 ถึง 59% ซึ่งถ้าดูจากค่าเฉลี่ยแล้ว มีคนดูที่มีค่าเฉลี่ยมากกว่า 3 เกมแรกของบาสเกตบอล NBA รอบชิงชนะเลิศเสียอีก
แน่นอนว่า นั่นคือตัวเลขของพรีเมียร์ลีก หรือฟุตบอลยูโร ไม่ใช่ MLS แต่เราจะเห็นความต้องการของผู้บริโภค ในสหรัฐอเมริกาต่อกีฬานี้มีมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะทิศทางของการเจริญเติบโต ในเส้นทางที่พวกเขากำลังเตรียมที่จะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2026 ร่วมกับประเทศแคนาดา และเม็กซิโก
โดยที่ความคาดหวังในครั้งนี้ ใหญ่กว่าฟุตบอลโลกในปี 1994 ที่เป็นช่วงปีก่อตั้ง MLS คราวนี้ความต้องการคือการพัฒนาสภาพแวดล้อมของฟุตบอลภายในประเทศสหรัฐอเมริกาให้โดดเด่น และเป็นที่น่าสนใจมากขึ้นกว่าเก่า
จากข้อมูลเหล่านี้เราจะเห็นได้ว่ามีเงินมากมายหลั่งไหลเข้ามาที่ MLS จากนักลงทุนมากมาย สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เราเห็นว่าลีกฟุตบอลนี้คือความเสี่ยงที่พวกเขาต้องการจะลอง
เพราะดูตามการเจริญเติบโตของฟุตบอลในสหรัฐอเมริกา มันน่าจะออกมาคุ้มค่าอย่างมากเลยทีเดียว และนั่นคือสาเหตุที่ทำไมมูลค่าฟุตบอลในสหรัฐอเมริกาถึงได้พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อแบบนี้
ถ้า MLS ยังสามารถรักษาเปอร์เซนต์ในการเติบโตต่อไปได้ พวกเขาไม่ใช่แค่จะท้าทายลีกกีฬาชั้นนำในอเมริกา แต่เป็นอนาคตที่อันตรายกลับลีกฟุตบอลในยุโรปเช่นกัน