"จิมมี่" พิฆเนศ สุขหยิก​ : ยอดนักสู้ LGBTQ+ ผู้แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างวัดที่ใจไม่ใช่เพศ

Author Photo
Jim'my Sukyik

ชื่อของ “จิมมี่” พิฆเนศ สุขหยิก นักกีฬาคิกบ็อกซิ่งทีมชาติไทย กำลังถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในโลกโซเชียลมีเดีย เมื่อเจ้าตัวลงทำการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ปี 2023 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ในประเภทคิกไลต์ (Kick Light) รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 69 กิโลกรัมชาย

โดยสิ่งที่ถูกพูดถึงนั้นก็ไม่ใช่แค่เรื่องของผลการแข่งขันเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้จิมมี่โดดเด่นขึ้นมาก็คือความน่ารักสดใส และลีลาการฟูลเทิร์นอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว อีกทั้งจิมมี่เป็นนักกีฬาที่มีการแสดงออกถึงเพศภาพที่ชัดเจน เจ้าตัวมีความภูมิใจในการเป็น LGBTQ+ นั่นจึงทำให้จิมมี่จริงกลายมาเป็นตัวแทนความเท่าเทียมทางเพศสภาพที่โดดเด่นเป็นอย่างมากในช่วงเวลานี้

บทความนี้จะพาทุกท่านมาทำความรู้จัก “จิมมี่” พิฆเนศ สุขหยิก กันให้มากยิ่งขึ้นกับหลากหลายแง่มุม ทั้งแนวคิดในการดำเนินชีวิตและเส้นทางการเป็นนักกีฬาทีมชาติไทยของเจ้าตัวกันครับ

“ไอ้เสือ” ของพ่อ จุดเริ่มต้นฝึกฝนกีฬาต่อสู้

หลายคนที่ได้รับรู้เรื่องราวของ “จิมมี่” พิฆเนศ สุขหยิก นั้นต่างมีข้อสงสัยว่าด้วยบุคลิกที่อ่อนหวาน น่ารักของเจ้าตัวทำไมถึงเลือกเล่นกีฬาศิลปะป้องกันตัวซึ่งเป็นกีฬาต่อสู้ที่ดูจะขัดกับภาพลักษณ์ของตัวจิมมี่เอง

“จุดเริ่มต้นจากคุณพ่อคะ คุณพ่ออยากให้จิมมี่เป็นไอ้เสือ มีความแข็งแรง เข้มแข็งแบบผู้ชาย คุณพ่ออยากให้จิมมี่ เป็นไอ้เสือของพ่อ”

Jim'my Sukyik

“จิมมี่” พิฆเนศ สุขหยิก เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นในการฝึกฝนกีฬาศิลปะป้องกันตัวของเจ้าตัว โดยมีคุณพ่อให้การสนับสนุนเพราะคุณพ่อของจิมมี่นั้นต้องการให้เจ้าตัวมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อีกทั้งยังหวังให้จิมมี่เป็นเด็กที่มีความเข้มแข็ง ปกป้องตนเองจากการถูกรังแกหรือจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ และอีกนัยหนึ่งคุณพ่อก็หวังว่าเมื่อจิมมี่เป็นกีฬาประเภทนี้แล้วจะทำให้เปลี่ยนใจมาเป็นผู้ชายเต็มตัวอีกครั้ง แต่ในภายหลังเมื่อจิมมี่ยืนยันในความเป็นตัวตนของตัวเอง คุณพ่อก็ยังคงรักและให้การสนับสนุนจิมมี่ต่อไป

โดยจิมมี่นั้นเลือกที่จะเล่นและฝึกฝนกีฬาคาราเต้ ซึ่งเป็นศิลปะการป้องกันตัวที่เจ้าตัวเองก็ชื่นชอบเพราะมีทั้งประเภทคูมิเต้หรือการต่อสู้และประเภทคาตะซึ่งก็คือการร่ายรำ จิมมี่ก็สามารถเรียนรู้คาราเต้ได้อย่างรวดเร็วและด้วยความที่เจ้าตัวเป็นคนมุ่งมั่น ทำอะไรทำจริงและต้องทำให้ได้ดี รวมทั้งจิมมี่เป็นคนที่มีความมานะอุตสาหะ จึงทำให้เจ้าตัวมีพัฒนาการที่ดีเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง จนความสามารถมีมากพอเพียงที่จะลงทำการแข่งขันในระดับเยาวชนรายการต่างๆ ได้

จิมมี่สามารถสร้างผลงานการแข่งขันระดับเยาวชนได้เป็นอย่างดี จนฝีไม้ลายไปเตะตาสต๊าฟทีมงานทีมชาติไทย และเจ้าตัวก็ได้รับโอกาสในการติดทีมชาติตั้งแต่ช่วงเรียนมัธยมศึกษา โดยในทีมชาตินี้จิมมี่เน้นลงแข่งขันในประเภทคาตะ หรือท่าร่ายรำ โดยเจ้าตัวลงสนามแข่งขันกับทีมชาติไทยมากมายหลายรายการ สร้างผลงานจนสามารถติดอันดับโลกได้สำเร็จ สร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเองและครอบครัวเป็นอย่างมาก

เต็มที่กับทุกโอกาส เปลี่ยนจากความผิดหวังสู่เหรียญเงินซีเกมส์

“จิมมี่” พิฆเนศ สุขหยิก ติดทีมชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขันคาราเต้ในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ปี 2019 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เจ้าตัวมุ่งมั่นฝึกฝนตัวเองอย่างหนักและก็คาดหวังว่าจะสามารถคว้าเหรียญรางวัลให้กับทัพนักกีฬาไทยได้ แต่เมื่อลงสนามแข่งขันผลงานกลับไม่เป็นดั่งใจหวัง โดยจิมมี่ไม่อาจคว้าเหรียญรางวันมาครองได้

“ขอบคุณทุกโอกาสที่ทีมโค้ชได้มอบให้ในครั้งนี้มากๆครับ ขอบคุณสมาคมกีฬาคาราเต้ ขอบคุณพวกพี่ๆทุกคนที่ร่วมซ้อมกันมาตลอด และผู้อยู่เบื้องหลังทุกคน ครั้งนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีและใหญ่หลวงเอาการสำหรับผม แต่ถึงจะเสียใจเสียดายแค่ไหนก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือแก้ไขให้ดีขึ้น ผมขอโทษที่ทำเหรียญกลับมาไม่ได้ในครั้ง แต่ถึงจะแพ้ในวันนี้แต่ผมจะไม่หยุดพัฒนาแน่นอครับ สู้ต่อไปเพื่อจะทำประวัติศาสตร์คาตะทีมชาติไทยให้เป็นที่รู้จักในสากลให้ได้ครับ”

นี่คือข้อความทางโซเชียลมีเดียที่จิมมี่กล่าวถึงความผิดหวังในการแข่งขันซีเกมส์ครั้งนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนสามารถสัมผัสตัวตนของจิมมี่ได้จากข้อความดังกล่าวก็คือ จิมมี่นั้นเป็นนักกีฬาที่มีทัศนคติที่ดีเยี่ยม เมื่อพบกับความพ่ายแพ้เจ้าตัวก็หาข้อผิดพลาดเพื่อที่จะนำไปพัฒนาและแก้ไขต่อไป

จิมมี่ไม่จมอยู่กับอดีตที่เป็นความทุกข์ เจ้าตัวเลือกที่จะวางเป้าหมายใหม่ให้ชัดเจน และด้วยความมุ่งมั่นของเจ้าตัวทำให้ในอีก 3 ปีถัดมา ซึ่งก็คือการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ปี 2021 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ที่แข่งขันกันไปเมื่อช่วงเดือนพฤษาคม ปี 2022 ที่ผ่านมานั้น จิมมี่คือตัวแทนของคนไทยไปเข้าร่วมการแข่งขันคาราเต้ในซีเกมส์อีกครั้ง และก็สามารถคว้าเหรียญเงินในการแข่งขันประเภทคาตะ ทีมชายมาครองได้สำเร็จ ลบล้างความผิดหวังที่เกิดขึ้นหน้านี้ได้สำเร็จ

Jim'my Sukyik

เปลี่ยนเส้นทางเดินใหม่ เพื่อท้าทายความสามารถตนเอง

หลังจากที่ “จิมมี่” พิฆเนศ สุขหยิก สามารถคว้าเหรียญเงินในการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ปี 2021 จากคาราเต้ ประเภทคาตะ มาครองได้แล้วนั้น เจ้าตัวก็อยากจะท้าทายความสามารถและก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง โดยเฉพาะกับคำถามในใจที่ว่าจิมมี่จะสามารถต่อสู้และยืนระยะอยู่บนเวทีการแข่งขันในประเภทนี้ได้หรือไม่ เจ้าตัวซึ่งเป็น LGBTQ+ จะสามารถแข่งขันกับนักกีฬาผู้ชายที่มีแต่ความแข็งแกร่งได้หรือ เหล่านี้คือคำถามที่จิมมี่อยากหาคำตอบ

และเพื่อเป็นการหาคำตอบจากคำถามที่เกิดขึ้นในใจของเจ้าตัว จิมมี่จึงเปลี่ยนเส้นทางมาทำการฝึกฝนและลงแข่งขันในกีฬาคิกบ็อกซิ่ง และเพียงแค่ระยะเวลาประมาณ 2 เดือนเท่านั้น เจ้าตัวก็สามารถเป็นตัวแทนทีมชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขันคิกบ็อกซิ่งชิงแชมป์เอเชีย หรือเอเชียน คิกบ็อกซิ่ง แชมเปียนชิพ (Asian Kickboxing Championships) ปี 2022 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพได้สำเร็จ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวของจิมมี่ได้เป็นอย่างดี

และการเปลี่ยนเส้นทางเดินของเจ้าตัวในครั้งนี้ก็ดูเหมือนจะไปได้สวยเมื่อ “จิมมี่” พิฆเนศ สุขหยิก สามารถคว้าเหรียญทองในการแข่งขันเอเชียน คิกบ็อกซิ่ง แชมเปียนชิพ 2022 มาครองได้สำเร็จ ซึ่งผลงานดังกล่าวสามารถตอบคำถามที่มีในใจของจิมมี่ได้เป็นอย่างดี และเป้าหมายต่อไปของเจ้าตัวก็คือการคว้าเหรียญทองซีเกมส์มาคล้องคอให้ได้

Jim'my Sukyik

ซีเกมส์ 2023 ยืดหยัดความเป็นตัวตน โชว์ผลงานคว้าเหรียญทองแดง

จิมมี่เข้าร่วมการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ปี 2023 ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าร่วมมหกรรมกีฬานี้เป็นครั้งที่ 3 ของตัวเองแล้ว เพียงแต่การเข้าร่วมซีเกมส์ในครั้งนี้แตกต่างไปจาก 2 ครั้งแรก เพราะเจ้าลงทำการแข่งขันในกีฬาคิกบ็อกซิ่ง ประเภทคิกไลต์ รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 69 กิโลกรัมชาย และจิมมี่ก็สามารถสร้างปรากฎการณ์ให้ผู้คนกล่าวถึงได้ ด้วยลีลาการดีใจที่เป็นเอกลักษณ์เป็นตัวของตัวเองหลังประกาศผลการแข่งขัน ทำให้ผู้ชมเกิดความชื่นชอบจนถ่ายคลิปมาลงโซเชียลมีเดียและเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในการแข่งขันรอบควอเตอร์ไฟนอลหรือรอบ 8 คนสุดท้ายที่จิมมี่สามารถเอาชนะชิ ธาน บุย ดวย นักกีฬาจากประเทศเวียดนามได้อย่างสวยงาม ซึ่งหลังจากเอาชนะคู่แข่งได้สำเร็จ จิมมี่ แสดงอาการดีใจด้วยท่าฟูลเทิร์น พร้อมกับถอนสายบัวเคารพผู้ชมที่เข้ามาให้กำลังใจเจ้าตัว จากนั้นก็เข้าไปสวมกอดกับ ชิ ธาน บุย ดวย อย่างนอบน้อมและเต้มไปด้วยมิตรภาพ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวกับสร้างความไม่พอใจให้กับสหพันธ์กีฬาคิกบ๊อกซิ่งแห่งเอเชีย จนถึงกับมีคำสั่งให้จิมมี่หยุดแสดงพฤติกรรมการดีใจในลักษณะดังกล่าว และหากไม่เชื่อฟังก็จะปรับแพ้แม้จิมมี่จะเป็นผู้ชนะก็ตาม

“สมาคมกีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งประเทศไทย ขอยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดที่น้องได้พูดถึงเรื่องการโดนข่มขู่นั้นเป็นเรื่องจริง น้องจิมมี่โดนบังคับให้เซ็นสัญญาว่าจะไม่แสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากทางสมาพันธ์คิกบ็อกซิ่งเอเชียนั้นไม่เห็นด้วยกับการแสดงท่าทางในลักษณะ LGBTQ+”

"ถ้าน้องไม่เซ็นสัญญานั้น น้องจะไม่ได้เเข่งขันต่อ และยังขู่หลังจากที่น้องแข่งขันในวันแรกว่าถ้าน้องยังแสดงกิริยาเช่นนี้ ต่อให้ผลการแข่งขันชนะ น้องก็จะต้องโดนปรับแพ้ทางสมาคมกีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งประเทศไทย จึงต่อรองกับทางสมาพันธ์ไปว่า ถ้าน้องไม่สามารถแข่งขันต่อได้ เราจะถอนทีมของเราจากการแข่งขันทั้งหมดและเราจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เนื่องจากเราสนับสนุนและเคารพในจุดยืนของน้องเสมอ”

นี่คือบทสัมภาษณ์จากตัวแทนของสมาคมกีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งประเทศไทยที่เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับทีมข่าวของ MainStand ที่ไปเกาะติดรายงานผลการแข่งขันที่ประเทศกัมพูชา โดยสมาคมกีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งประเทศไทย ยืนยันที่จะยืนหยัดอยู่เคียงข้าง “จิมมี่” พิฆเนศ สุขหยิก อย่างเต็มที่จนในที่สุดเจ้าตัวก็สามารถลงทำการแข่งขันต่อไปจนสามารถคว้าเหรียญทองแดงให้กับทัพนักกีฬาไทยได้สำเร็จ

ทัศนคติดีเยี่ยม ชนะตั้งแต่ยังไม่ลงสนาม

สิ่งหนึ่งที่บุคคลทั่วไปสามารถสัมผัสได้หากมีโอกาสพูดคุยกับเจ้าตัวนั่นก็คือทัศนคติที่ดีเยี่ยม

“หนูมีความเคารพและรักในตัวเองมากๆ หนูรู้ตัวว่าหนูมีคุณค่าในตัวเองมากขนาดไหน หนูเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนที่รักและไม่รักเรา หนูแค่ทำความเข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดาและเรื่องธรรมชาติ พยายามมองด้วยความเข้าใจและเดินหน้าต่อไป”

นี่คำตอบของจิมมี่ที่ต่อคำถามเกี่ยวกับผลกระทบที่เจ้าตัวนั้นแสดงความเป็นตัวตน แสดงความเป็น LGBTQ+ ที่ชัดเจน คำตอบนี้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่ดีเยี่ยมต่อปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งในการแข่งขันกีฬาและชีวิตจริง จิมมี่มองทุกอย่างด้วยความเข้าใจ และมีวิธีการจัดการกับสภาพจิตใจได้อย่างเข้มแข็งและดีเยี่ยม ซึ่งทัศนคติดังกล่าวนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับการเป็นนักกีฬา

โดยจิมมี่กล่าวว่าตัวเองนั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจนทั้งในการดำเนินชีวิตและการเป็นนักกีฬาทีมชาติไทย จิมมี่ยังคงมีความตั้งใจที่จะสร้างผลงานการแข่งขันคิกบ็อกซิ่งในระดับที่สูงขึ้นไปทั้งเอเชียน อินดอร์ แอนด์ มาร์เชียลอาร์ตเกมส์ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2023 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ รวมทั้งการก้าวไปถึงระดับเวิลด์เกมส์ต่อไปในอนาคต

ปัญหาที่เกิดขึ้นหรือการถูกบลูลี่ในเพศสภาพของเจ้าตัวจะไม่มีผลกระทบต่อการรับใช้ทีมชาติไทยอย่างแน่นอน ในทางกลับกันมันจะเป็นแรงผลักดันชั้นดีให้เจ้าตัวได้มุ่งมั่นพิสูจน์ตัวเองต่อไป

นี่คือเรื่องราวของ “จิมมี่” พิฆเนศ สุขหยิก นักกีฬาคิกบ็อกซิ่งทีมชาติไทย นักกีฬาที่รักและเคารพในความเป็นตัวเอง นักกีฬาที่แสดงให้เห็นว่าไปว่าคุณจะมีเพศสภาพอย่างไร คุณก็สามารถประสบความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้ เรามาร่วมกันเป็นกำลังใจและสนับสนุนเจ้าตัวกันครับ

บทความโดย : ธิษณา ธนคลัง (The Sportory - เต้นคุง)  

NBA LEAGUE PASS สมัครเพื่อชมการแข่งขันเอ็นบีเอสดทุกนัดคลิก

ผู้แต่ง
Author Photo
บรรณาธิการบริหาร The Sporting News Thailand
LATEST VIDEOS