พรสวรรค์นั้นเป็นของใครของมัน ความเชื่อของชาวบัลแกเรียที่เชื่อว่า พระเจ้าอยู่ข้างพวกเขาในเส้นทางการแข่งขันในฟุตบอลโลกปี 1994 การแข่งขันที่เกิดขึ้นมีอะไรมากมาย แต่สำคัญที่สุดคงเป็นผลงานของฮริสโต้ สตอยช์คอฟนักเตะพรสวรรค์ที่ยิงประตู 5 นัดติดต่อกันจนพาให้ทีมชาติบัลแกเรียทำผลงานได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่พวกเขาเคยเล่นฟุตบอลโลกมา นั่นคือสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อเพราะนั่นคือความจริงที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นในฟุตบอลโลกฉบับสหรัฐอเมริกา
ลุ้นจนนาทีสุดท้าย
ก่อนจะถึงฟุตบอลโลก 1994 เส้นทางสู่การแข่งขันรอบสุดท้ายของทีมชาติบัลแกเรียไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แม้พระเจ้าของฟุตบอลบัลแกเรียอย่าง ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ จะยังคงฟอร์มเก่ง ผ่านการยิงประตูมากถึง 5 ลูกในรอบคัดเลือก
แต่น่าเสียดายที่ทีมชาติบัลแกเรียดันอยู่ในกลุ่มสุดแข็ง ซึ่งมีทั้งสวีเดน และฝรั่งเศส เป็นตัวเต็งมาตั้งแต่ต้น นั่นจึงส่งผลให้ทั้งสามทีมขับเคี่ยว เพื่อแย่งชิงโควต้าเข้าสู่รอบสุดท้ายซึ่งมีเพียงสองที่
ในที่สุด ทีมชาติบัลแกเรียจึงต้องลุ้นจนถึงการแข่งขันนัดสุดท้าย ในเกมที่พวกเขาเจอกับทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งนำทัพโดยเอริค คันโตน่า ยอดกองหน้าดาวดังแห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แต่ถึงชื่อชั้นนักเตะจะเป็นรองมากแค่ไหน ผลงานในการแข่งขันนัดแรกจบลงด้วยชัยชนะของบัลแกเรีย ที่เปิดบ้านเอาชนะฝรั่งเศส 2-0 ความหวังจะเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายของแฟนบอลบัลแกเรียจึงไม่เคยจางหายไป แม้สถานการณ์ของฝรั่งเศสจะเป็นต่อจาการเก็บ 13 แต้ม ส่งผลให้บัลแกเรียที่มี 11 แต้ม ต้องบุกไปคว้าชัยชนะสถานเดียว
เมื่อเสียงนกหวีดเริ่มต้นขึ้น สถานการณ์ในเกมการแข่งขันไม่เป็นใจต่อบัลแกเรียแม้แต่นิดเดียว เมื่อ คันโตน่า สามารถทำประตูให้ฝรั่งเศสขึ้นนำไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 31
แต่ด้วยใจที่ไม่คิดจะยอมแพ้ บัลแกเรียกลับมาไล่ตีเสมอได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการยิงประตูของเอมิล คอสตาดินอฟ ส่งผลให้สกอร์ในครึ่งแรกจบลงด้วยผลเสมอ 1-1 ซึ่งเหล่าแข้งทีมชาติบัลแกเรียต่างรู้ดีว่า รี่ไม่ใช่ผลงานที่เพียงพอจะทำให้พวกเขาได้ไปลุยในศึกฟุตบอลโลก 1994
ข้อดีอย่างหนึ่งของทีมฟุตบอลที่กำลังจนตรอก คือพวกเขาจะเดินหน้าเพื่อชัยชนะโดยไม่หวาดกลัวกับสิ่งใด ทางกลับกัน ทีมชาติฝรั่งเศสที่กุมความได้เปรียบมหาศาลไว้ในมือ ดันเลือกจะเดินหน้าเพื่อเอาชนะบัลแกเรีย เพราะพวกเขามองว่าการเก็บผลเสมอไว้ ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาได้ไปแข่งขันในฟุตบอลโลก
แน่นอนว่า ปาฏิหารย์ได้เกิดขึ้นในสนามปาร์ค เดอ แปรงซ์ ในนาที 90 ของการแข่งขัน เมื่อเอมิล คอสตาดินอฟ ซัดประตูที่สองของตัวเอง ช่วยให้ทีมชาติบัลแกเรียเอาชนะฝรั่งเศส 2-1 และคว้าตั๋วไปลุยฟุตบอลโลก 1994 ได้สำเร็จ
หลังจบเกม สตอยช์คอฟ ได้ให้สัมภาษณ์ในฐานะผู้นำทีมว่า ฝรั่งเศสกำลังหวาดกลัว พวกเขาสนใจแค่การเก็บสกอร์เอาไว้ และนั่นทำให้พวกเขาไม่ควรที่จะเป็นผู้ชนะ
เพราะในทางกลับกัน บัลแกเรียเลือกจะเล่นอย่าเต็มที่ และตั้งใจโจมตีไปยังจุดที่พวกเขาจะเจ็บปวดที่สุด นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ สตอยช์คอฟฉลองด้วยความสะใจที่สุดท้ายสามารถพาทีมชาติของเขาไปเล่นฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ฟุตบอลโลกปี 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก
โอกาสทอง
บัลแกเรียเดินทางสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อลงแข่งขันฟุตบอลโลก 1994 โดยอยู่ในกลุ่ม D ร่วมกับทีมชาติไนจีเรีย, กรีซ และอาร์เจนติน่า ซึ่งมีดีกรีเป็นเต็งหนึ่งของกลุ่ม เนื่องจากฐานะรองแชมป์เก่า และแข้งชื่อดังก้องโลกอย่าง ดิเอโก้ มาราโดน่า ก็ติดทีมมาด้วย
เมื่อมองจากสถานการณ์ตรงนี้ โอกาสการเข้ารอบที่เป็นไปได้มากที่สุดของบัลแกเรีย คือการคว้าอันดับสองหรือสามของกลุ่ม เนื่องจากฟุตบอลโลกหนนี้ยังมีระบบเข้ารอบในฐานะเป็นอันดับ 3 ที่ดีที่สุดอยู่
ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปตามที่แฟนบอลทั่วโลกตาดไหว เพราะต้งแต่เกมนัดแรกที่บัลแกเรียลงสนามกับไนจีเรีย พวกเขาพ่ายแพ้เละเทะด้วยสกอร์ 0-3 แถมแข้งตัวความหวังทั้ง ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ และเอมิล คอสตาดินอฟ ก็เล่นไม่ออก
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า นี่คือผลงานที่น่าผิดหวัง เมื่อบัลแกเรียไม่สามารถต่อกรกับคู่แข่งของพวกเขาได้เลยในนัดแรก แต่สิ่งสำคัญที่นักเตะบัลแกเรียรู้ดีคือ พวกเขาต้องเรียกความมั่นใจกลับมาให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และมันจะต้องเริ่มต้นทันทีในนัดต่อไปที่พวกเขาพบกับกรีซ ซึ่งเพิ่งโดนอาร์เจนติน่าถล่มยับ 0-4 ไปหมาด ๆ
ผู้แพ้ของเกมที่รออยู่จะตกรอบแรกแน่นอน และนักเตะบัลแกเรียทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่า มันจะไม่ใช่พวกเขา … เริ่มต้นด้วยการที่สตอยช์คอฟสามารถคืนความมั่นใจของตนได้ทันเวลา จัดการยิงสองจุดโทษเข้าประตูติดต่อกัน ช่วยให้ทีมขึ้นนำแบบสบายใจ
ก่อนเพื่อนร่วมทีมจะซัดเพิ่มอีกสองลูก ช่วยให้บัลแกเรียเอาชนะกรีซ 4-0 ถือเป็นการได้ 3 แต้มสำคัญ ก่อนเจอกับทีมชาติอาร์เจนติน่าในเกมสุดท้าย ที่ถือเป็นเกมตัดสินว่าพวกเขาจะอยู่หรือไปในฟุตบอลโลกครั้งนี้
เมื่อการแข่งขันสนามคอตตอน โบว์ล เริ่มต้นขึ้น อาร์เจนติน่าที่ชนะรวดสองนัดแรก และสามารถเก็บ 6 แต้มไปแล้ว พวกเขาจึงส่งนักเตะชุดผสมตัวจริง-สำรองลงสนาม และก็เป็นเช่นเดียวกับที่ฝรั่งเศสเคยประมาทบัลแกเรียในรอบคัดเลือก
ทัพฟ้าขาวต้องจ่ายราคาบทเรียนของตนเป็นความพ่ายแพ้ 0-2 ต่อบัลแกเรีย เมื่อสตอยช์คอฟที่กำลังเครื่องติด สามารถทำประตูเปิดกล่องในนาที 61 ก่อน นาสโก้ ซิลาคอฟ จะยิงประตูย้ำชัยในนาที 90+3
ผลลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายไม่เพียงส่งผลให้บัลแกเรียเข้ารอบต่อไปแน่นอน แต่ยังทำให้กลุ่มนี้มีทีมที่เก็บ 6 แต้ม มากถึง 3 ทีม นั่นคือคือไนจีเรีย, บัลแกเรีย และอาร์เจนติน่า
โดยบัลแกเรียได้เข้าไปสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะทีมอันดับที่ 2 ของกลุ่ม ส่วนอาร์เจนติน่าที่ประมาทเกินไปในนัดสุดท้าย ร่วงหล่นสู่อันดับ 3 แบบน่าเหลือเชื่อ ขณะที่ไนจีเรียคว้าตำแหน่งแชมป์กลุ่มไปครองแบบประทับใจแฟนทั่วโลกในท้ายที่สุด
ดีที่สุด
แม้จะปราบทีมดังเกรดแชมป์โลกได้ทั้งในรอบคัดเลือก และการแข่งขันรอบแรก แต่บททดสอบแท้จริงของบัลแกเรียกลับรออยู่ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อพวกเขาต้องโคจรมาพบเจอกับทีมชาติเม็กซิโก ซึ่งไม่เพียงเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม E แต่ยังมี ฮูโก้ ซานเชส กองหน้าตัวเก่งวัย 35 ปี นำทีมมาด้วย
แน่นอนว่าเกมดังกล่าวจะต้องเป็นงานที่ยากลำบากของบัลแกเรีย แต่ความแตกต่างได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จากฝีเท้าของสตอยช์คอฟ ที่ตอนนี้เอาช้างมาฉุดก็หยุดให้เขายิงเปิดกล่องในฟุตบอลโลกไม่ได้แล้ว เมื่อดาวยิงตัวเก่งจากบาร์เซโลน่าจัดการยิงให้ทีมขึ้นนำไปก่อน ตั้งแต่นาทีที่ 6 ของการแข่งขัน
แต่เม็กซิโกพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขามีทีเด็ดไม่แพ้กัน เมื่อพวกเขาตีเสมอบัลแกเรียจากลุกจุดโทษในนาทีที่ 16 ของการแข่งขัน ท้ายที่สุด ทั้งสองฝ่ายต้องสู้กันถึงการดวลจุดโทษ
ก่อนบัลแกเรียจะพิสูจน์ว่าพวกเขาคือทีมที่ดีกว่า ผ่านการคว้าชัยชนะด้วยสกอร์ 3-1 ในช่วงยิงจุดโทษ หลังอยู่ดี ๆ นักเตะเม็กซิโกก็เท้าบอด ยิงเข้าเพียงแค่ลูกเดียวเท่านั้น
ทีมชาติบัลแกเรียจึงแบกโมเมนตั้มที่ยอดเยี่ยมไปพบกับแชมป์เก่าอย่าง ทีมชาติเยอรมัน ที่ไม่เพียงจะยังคงแข็งแกร่งใกล้เคียงกับชุดแชมป์ปี 1990 แต่ยังผ่านเข้าสุ่เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศมาในแบบที่ยังไม่แพ้ใคร
เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น โลธ่าร์ มัทเธอุส ไม่ทำให้แฟนอินทรีเหล็กต้องผิดหวัง เมื่อเขายิงจุดโทษให้ทีมขึ้นนำในนาที 48 แต่ความแน่นอนของทีมชาติเยอรมัน ยังพ่ายแพ้แก่ความร้อนแรงของสตอยช์คอฟ ที่ยิงประตูทีเด็ดในนาที 75 ไล่ตีเสมอแชมป์เก่าเป็น 1-1
ก่อนยอร์แดน เลทช์คอฟ จะฉวยโอกาสในอีกไม่กี่นาทีถัดมา ยิงประตูให้บัลแกเรียพลิกแซงเยอรมันเป็น 2-1 ในนาที 78 นั่นจึงทำให้ทัพอนทรีเหล็กเหลือเวลาราว 15 นาทีสุดท้ายในการพลิกสถานการณ์ ซึ่งสำหรับทีมม้ามืดที่เคยล้มฝรั่งเศส และอาร์เจนติน่าในเกมสำคัญมาแล้ว นี่ก็ไม่ใช่งานที่ยากเกินไปนัก
บัลแกเรียจึงเดินมาอยู่ในจุดที่ไกลเกินฝัน เมื่อพวกเขายืนหยัดในรอบรองชนะเลิศ เพื่อพบเจอกับทีมเต็งอย่าง ทีมชาติอิตาลี ซึ่งท้ายที่สุด บัลแกเรียก็ต้านทานความแข็งแกร่งของทัพอัซซูรี่ไม่ไหว
พวกเขาโดนโรแบร์โต้ บัจโจ้ ยิงรัว 2 ประตู ตั้งแต่ช่วง 25 นาทีแรกของเกม ก่อนพ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 2-1 โดยมีประตูจากลูกจุดโทษของสตอยช์คอฟเป็นเครื่องปลอบใจ ตามด้วยการถูกสวีเดนถล่มยับ 4-0 ในเกมชิงที่ 3 ส่งผลให้บัลแกเรียหยุดเส้นทางในฟุตบอลโลก 1994 ในฐานะทีมอันดับ 4 ของการแข่งขัน
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้อย่างไรในสองเกมสุดท้าย เรื่องนั้นไม่ได้เป็นความจริงที่ขุนพลชุดปี 1994 คือผู้สร้างสรรค์ผลงานที่ดีที่สุดตลอดกาลของทีมชาติบัลแกเรียในศึกฟุตบอลโลก
แน่นอนว่า เครดิตส่วนใหญ่คงต้องยกให้ ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ กองหน้าตัวเก่งที่ร้อนแรงฉุดไม่อยู่ ระเบิดประตูในฟุตบอลโลกคราวนี้ไปมากถึง 6 ลูกด้วยกัน ส่งผลให้เขาคว้ารางวัลดาวซัลโวฟุตบอลโลกร่วมกับ โอเล็ก ซาเลนโก้ กองหน้าทีมชาติรัสเซีย
แต่เคล็ดลับแท้จริงที่ทำให้บัลแกเรียประสบความสำเร็จ ย่อมเป็นสปิริตและหัวใจที่สู้ไม่ถอยของนักเตะทีมชาติบัลแกเรีย ที่ไม่เพียงจะช่วยให้พวกเขาพลิกนรกในการแข่งขันรอบคัดเลือกนัดสุดท้าย แต่ยังช่วยให้พวกเขาเอาชนะแชมป์เก่า และรองแชมป์เก่า จนคว้าอันดับ 4 ของการแข่งขัน
นี่จึงเป็นความทรงจำอันยอดเยี่ยมที่แฟนบอลทั่วโลกไม่มีวันลืม ทั้ง พรสวรรค์ของสตอยช์คอฟที่เป็นเหมือนกับพรจากพระเจ้า และความหัศจรรย์ทั้งหลายที่ผู้เล่นรายอื่นร่วมสร้าง การเดินทางของทีมชาติบัลแกเรียในศึกฟุตบอลโลก 1994 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงเป็นหนึ่งในเรื่องราวม้ามืดที่ดีที่สุดของโลกลูกหนัง ตราบจนทุกวันนี้